อูม วิยะดา แฮปปี้ชีวิตพื้นบ้าน ทำสวนแลกอาหาร เผยแอบคิดถึงแสงสีเสียง เมืองกรุง
อูม วิยะดา แฮปปี้ชีวิตพื้นบ้าน – หลังผันตัวจากนักแสดงไปเป็นชาวสวนชาวไร่ ใช้ชีวิตอยู่ที่ จ.เลย ก็หลงรักธรรมชาติเข้าให้ สำหรับ หม่อมอูม วิยะดา อุมารินทร์ ที่ได้มาอัพเดตชีวิตกับข่าวสดออนไลน์ ถึงชีวิตที่ขาดแสงสีเสียง
อัพเดตชีวิตช่วงนี้ได้ยินว่าผันตัวไปทำไร่ทำสวน? “ใช่ค่ะ ตอนนี้มีบ้านอยู่ที่จ.เลย ปลูกต้นไม้เยอะมาก แล้วก็ไม่ค่อยได้ตัดด้วย ปล่อยให้เป็นธรรมชาติ เหมือนกับบ้านป่าเลยค่ะ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ปลูกอโวคาโด้ ปลูกผักที่กินได้ ปลูกมะนาว แต่เราไม่ได้ขายนะคะ เราเอาไปแลกกับชาวบ้าน สมมติเรามีมะนาวเยอะ เราก็เอาไปแลกข้าว ไข่เป็ดก็เอาไปแลกเกลือ (หัวเราะ) อยู่แบบสมัยโบราณเลยค่ะ”
พื้นที่เยอะ? “พื้นที่ประมาณ 10 ไร่ได้ค่ะ อยู่ติดแม่น้ำเลยค่ะ”
ต้องปรับตัวเยอะ? “ปรับตัวเยอะค่ะ เพราะว่าเราอยู่เมืองกรุงมาตลอดชีวิตเลย พออายุมากขึ้นต้องไปอยู่ที่ธรรมชาติๆ ตอนแรกเราก็คิดว่าจะอยู่ไม่ได้นะ แต่พออยู่ไปอยู่มามีความสุขมากเลย อากาศก็ดี๊ดี อากาศบริสุทธิ์ แล้วก็ได้อยู่กับธรรมชาติจริงๆ”
ทำสวนทำไร่มานานแค่ไหน? “ทำมา 5-6 ปีแล้วค่ะ”
ตอนที่ตัดสินใจมาอยู่บ้านทำไร่ทำสวน มันเกิดอะไรขึ้น? “ไม่ค่ะ คือลูกชายเขาไปชอบที่ตรงนี้ เขาก็บอกว่าอยากจะมาทำให้แม่อยู่ตอนที่แม่อายุมากๆ แม่จะได้มีที่เดินเยอะๆ และมีอากาศบริสุทธิ์ แต่พอไปๆ มาๆ เขาก็อยู่เอง (หัวเราะ) ปลูกบ้านเสร็จเขาก็ไปอยู่เอง เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ทำเกษตรผสมผสานแบบที่รัชกาลที่ 9 สอน
เขาก็มีความสุขอยู่ที่นั่น เขาไม่ยอมมากรุงเทพฯเลย แม่ต้องบินขึ้นไปหาเขา แม่ก็ไม่ได้ไปอยู่ประจำนะคะ ช่วงไหนที่ไม่มีละคร ช่วงไหนที่ว่างมากสัก 3-5 วัน ก็จะไปหาเขา ไปอยู่ที่นั่นค่ะ หลานๆ ก็ชอบ เด็กๆ ชอบมาก เพราะว่าเป็นชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับสัตว์ อยู่กับต้นไม้ มันจะมีความรู้สึกว่าจิตใจเราเบิกบาน(หัวเราะ)”
จริงจังทำเป็นธุรกิจ? “ไม่ได้ขาย แต่ก็อยากจะทำเป็นธุรกิจเหมือนกันถ้าสมมติเรามีผลิตภัณฑ์อะไรที่มันเยอะมากๆ เราก็จะขาย แต่พอเอาเข้าจริงๆ ไม่ได้ขาย แจกมั่ง แลกมั่ง เราเอาของนี้ไปให้เขา แล้วเขาก็เอาของมาให้เรา ขนาดขนมากรุงเทพฯ มาแจก คนที่ได้รับของจากเราก็จะเอาของมาแลกให้เราด้วย เหมือนว่าเราไม่ต้องใช้เงินซื้อค่ะ (ยิ้ม)”
จริงๆ เราเคยอยู่ในวงการ พอมาอยู่แบบนี้มันเสียดาย หรือเหงาไหม? “ไปอยู่ตรงนั้นก็คิดถึงนะคะ สมมติว่าเราหยุดเป็นเดือน บางทีช่วงโควิดแม่ก็เหงาค่ะ คิดถึงค่ะ ทำไมแสง สี เสียง เราไม่ได้เห็นเลย พอกลับมากรุงเทพฯตื่นตาตื่นใจมาก (หัวเราะ) คนละเรื่องกับที่นั่นเลย พอมืดแล้วมืดจริงๆ มืดมาก พอตื่นเช้ามาก็จะได้ยินแต่เสียงธรรมชาติ เราก็มีความรู้สึกบางทีเราก็อยากกลับกรุงเทพฯบ้าง แต่พอกลับมากรุงเทพฯเราก็รำคาญอีกละ(หัวเราะ) ต้องไปอยู่ที่นั่นอีก”
มีความคิดว่าจะไปอยู่ที่นั่นถาวร? “ใช่ๆ คิดว่าจะไปอยู่ที่นั่นถาวรในตอนที่ไม่มีงาน ถ้าสมมติไม่มีงานส่วนมากก็อยากจะไปอยู่ที่นั่นนานๆ เพราะว่ามันทำให้เราปล่อยตัวได้ตามสบาย เราไม่ต้องมาแอ๊บ ออกไปไหนมาไหนเราก็ไม่ต้องแต่งหน้า เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ เราอยู่ตรงนั้นไม่ต้องแบบเดินไปไหนคนก็รู้จักค่ะ ก็รู้สึกว่าฉันชาวบ้านคนหนึ่งนะ เดินไปเก็บผัก เก็บดอกอัญชัน เก็บกระถินของชาวบ้านเขา ไม่มีใครว่า ถ้าอยู่กรุงเทพฯไปเด็ดอะไรของเขา โดนแน่เลย (ยิ้ม)”
วัยเกษียณอาจจะไปใช้ชีวิตที่นั่นยาวเลย? “ใช่ค่ะ อาจจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น (ลูกมีชวนไปอยู่ด้วยกัน?) ลูกหนีไปอยู่จ.เลยก่อนแล้ว ส่วนหลานๆ เขาต้องเรียนอยู่กรุงเทพฯ เขาก็จะไปอยู่เพราะโรงเรียนหยุดนานเกินไป เขาก็อยากไปเที่ยวเมืองเลย
เพราะมีกิจกรรมให้ทำเยอะกว่า เขาได้เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ได้ปลูกต้นไม้ ได้ทำสวนทำไร่ เขาชอบ เขาทำบ้านดินเองด้วยนะ เด็กอายุ 10-12 ขวบเนี่ย เขาเอาถุงขยะมาใส่ดินทำเป็นก้อน แล้วก็เอาดินมาโปะ อยู่ได้ด้วยนะ มันทำให้เด็กได้เรียนรู้ และมีความคิดสร้างสรรค์ด้วย”
ชอบชีวิตแบบนี้มากกว่าเมื่อก่อน? “ใช่ ชอบชีวิตง่ายๆ แบบนี้มากกว่า แต่ว่าเราก็ต้องทำงานไง ถ้าเราไม่ทำงาน ไม่มีตังค์ อยู่ไม่ได้นะ”
ช่วงโควิดได้รับผลกระทบยังไงบ้าง? “กระทบมากเลยเพราะละครที่เปิดไปก็ถ่ายไม่ได้ ต้องเป็นปี แล้วที่จะเปิดใหม่ก็ยังไม่ได้เปิดเลยคิดว่าทำไมมันนานอย่างนี้ 2 ปีแล้วนะที่เราขยับไปไหนไม่ได้ เราทำอะไรไม่ได้ มีแต่เงินออก แต่ไม่มีเงินเข้า เราก็อึดอัดนะ แต่คิดไปอีกทีก็เป็นทุกคน สงสารทุกคนเลย กิจการใหญ่ๆ ก็โดนไปหมด แต่เราตัวเล็กๆ ไม่เป็นไร เราก็มีเท่าที่เรามีก็พอ (ยิ้ม)”
ค่าใช้จ่ายตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? “มีแต่รายจ่ายไม่มีรายรับอย่างนี้เราจะอยู่ได้ยังไงคะ ยังดีอยู่อย่างหนึ่งที่ลูกหลานแม่ขยัน เขาทำกับข้าวขาย ขายในหมู่บ้านเนี่ย ทำซาลาเปา ทำข้าวกล่อง ทำน้ำปั่น เขาก็ขายออนไลน์
เดี๋ยวนี้เด็กสมัยใหม่ขายออนไลน์นะคะ น่ารักมากเลย แม่เป็นนายทุน แม่ก็บอกว่ายังไม่เห็นมีใครมาคืนทุนฉันสักที (หัวเราะ) ก็ขายไม่ได้กำไรนะ แต่ก็ยังดีให้เขามีกิจกรรม เป็นการฝึกฝนในตัวว่าโลกสมัยหน้าจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ มันจะเปลี่ยนไปยังไงก็ไม่รู้ก็ให้เขาฝึกทำ”
รายได้ที่เข้ามาได้จากทางไหน? “รายได้ก็กินเงินเก่าค่ะ ไม่มีอะไร มีละครปีที่แล้ว 2 เรื่อง ปีนี้มีอีก 2 เรื่อง มีอยู่แค่นี้ก็ไม่พอใช้แล้ว (ยิ้ม) ไม่มีอะไรที่จะมีรายได้เลย”
ละครยังรับเหมือนเดิม? “ค่ะๆ ละครรับหมดเลย ใครให้เล่นเป็นบทอะไรรับหมดเลย บ้าๆ บอๆ ก็เล่นหมด นิดๆ หน่อยๆ รับเชิญหรือว่าไม่ได้ตังค์เราก็เล่น ชอบๆ ชอบเจอคน เขารับเชิญไปแสดง แต่ว่าไม่มีค่าตัวได้มั้ยคะ ก็ได้ค่ะ ให้เรามีข้าวกินไง ไปกองถ่ายก็มีข้าวกิน แล้วก็ได้เจอเพื่อนมีความสุขแล้วค่ะ”
สุขภาพเป็นยังไงบ้าง? “สุขภาพแม่เสียดายค่าตรวจมากเลย ปีหนึ่งเสียค่าตรวจ 6 พัน แล้วหมอบอกว่าไม่มีอะไรเลยค่ะ ปกติ เราก็โอ้โหเสียดายตังค์จังเลย มาตรวจทุกอย่างปกติหมด คืออาจจะเพราะเราอารมณ์ดีด้วย แล้วเราก็ไม่คิดลบ อะไรที่มันลบมากๆ หรือรู้สึกว่าคนนี้เขากระแสลบแรง เราก็ออกห่าง คนนี้เขาจิตใจไม่ดี เราก็ออกห่าง ไม่รับพวกที่มันลบๆ ร้อนๆ ไม่เอา ขออยู่อย่างสบายๆ ยิ้มได้ตลอดค่ะ”
เคล็ดลับสุขภาพดีคือการทำให้ตัวเองอารมณ์ดี? “ใช่ๆ คือตัดทิ้งหมดเลยอะไรที่ทำให้เราอารมณ์ไม่ดี เราต้องตัดทิ้งหมดเลย คิดก็เหมือนกัน อย่าไปคิดลบ เกลียดคนโน้น โกรธคนนี้ ไม่เอา ไม่เคย ไม่ชอบ (หัวเราะ)”
ออกกำลังกายกับเรื่องอาหารก็ช่วยได้? “ออกกำลังกายทุกเช้า ตื่นขึ้นมาก็ทำโน่นทำนี่ กวาดบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ทำหมดเพราะเราคิดว่าออกกำลังกาย ไม่ได้คิดว่าเป็นภาระ ไม่ใช่ค่ะ”
กังวลอะไรบ้างไหม? “ตอนนี้มีเหลนแล้วนะ เป็นคุณทวด ลูกของหลานมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง อ้วนมาก ตัวใหญ่มาก แล้วเขาก็ติดเรา แค่สองเดือนเอง เราก็จะอุ้มเขาไง พออุ้มมาก ทวดก็แย่มาก เพราะเขาตัวใหญ่มากไงคะ (ยิ้ม) มีลูกหลานรุมล้อม รู้สึกชีวิตสดชื่นไม่ต้องไปเครียดอะไร ช่างมัน มีเงินก็ใช้ไป”