ลูก 3 ขวบยังไม่พูด หมอตรวจยันไม่ได้เป็นใบ้ อึ้งจู่ๆ พูดครั้งแรกยาวเป็นประโยค “พ่อ มีคนกำลังพูดอยู่ข้างล่าง” ดีใจก่อนหลอน บ้านมีชั้นเดียว
ในเดือนเมษายน ปี 2547 ที่เมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน สามีภรรยาคู่หนึ่งต้อนรับลูกชายคนแรก ทั้งนี้ เนื่องจากแต่งงานช้าและคลอดลูกตอนอายุ 36 ปี ฝ่ายภรรยาจึงค่อนข้างกังวลเรื่องสุขภาพของลูก แต่โชคดีที่ผลตรวจสุขภาพพบว่าเด็กแข็งแรงดี
เนื่องจากมีลูกตอนอายุมากแล้ว ทั้งคู่จึงรักและเอาอกเอาใจลูกชายอย่างมาก ฝ่ายภรรยาตัดสินใจลาออกจากงานเพื่ออยู่บ้านเลี้ยงลูก ส่วนสามีก็พยายามกลับบ้านให้เร็วที่สุดเพื่อใช้เวลากับลูก เพื่อให้ลูกเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรัก แต่สุดท้ายกลับพบว่าพัฒนาการของเด็กชายนั้นผิดปกติ
เด็กทั่วไปอายุประมาณ 1 ขวบครึ่งสามารถเรียนรู้ที่จะพูดได้แล้ว แต่ลูกชายของพวกเขายังคงนิ่งเงียบ ในตอนแรกพ่อแม่คิดว่าลูกเพียงแค่พูดช้า พวกเขาจึงไม่สนใจมากนัก แต่เมื่ออายุได้ 3 ขวบ ลูกก็ยังไม่สามารถพูดได้สักคำ คนรอบข้างกังวลว่าเด็กชายอาจหูหนวกและเป็นใบ้ จึงแนะนำให้ทั้งคู่พาเด็กไปตรวจสุขภาพ
อย่างไรก็ดี หลังจากรีบพาลูกชายไปโรงพยาบาลและรับการตรวจหลายครั้ง แพทย์ยืนยันว่าเด็กชายปกติดี แต่เนื่องจากในเวลานั้นเทคโนโลยีทางการแพทย์ยังค่อนข้างล้าสมัย แพทย์จึงไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเด็กจึงพูดไม่ได้ ทำได้เพียงแนะนำให้พ่อแม่ค่อยๆ สอนลูกพูดอย่างช้าๆ
ครึ่งปีต่อมา ลูกชายยังคงไม่สามารถพูดอะไรได้ พวกเขาตัดสินใจพาลูกชายไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติเช่นกัน ทั้งคู่ไม่ยอมแพ้ ยังคงพาลูกชายเข้าตรวจที่ต่างๆ แต่สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น ในขณะที่คนเป็นพ่อแม่ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป จู่ๆ สิ่งแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น
คืนนั้นขณะที่ทั้งคู่ดูทีวีในห้องนั่งเล่น ลูกชายก็วิ่งออกมาพร้อมพูดประโยคแรกในชีวิตอย่างชัดเจนว่า “พ่อ มีคนกำลังพูดอยู่ข้างล่าง” พวกเขารู้สึกประหลาดใจและมีความสุขมากที่ลูกชายพูดได้ กอดลูกชายแน่นและร้องไห้ออกมา อย่างไรก็ดี หลังจากตั้งสติก็รู้สึกสับสนกับคำพูดลูกชาย เพราะพวกเขาอาศัยอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ไม่มีชั้นล่างอีก ทำไมเด็กลูกชายถึงบอกว่าได้ยินเสียงจากด้านล่าง
เมื่อไม่มีเหตุผลมารับรอง พวกเขาจึงคิดว่าลูกชายอาจแค่ฝันร้าย จึงปลอบโยนและพาเขาไปที่ห้องนอน โดยไม่คาดคิดว่าในคืนถัดมาลูกชายจะพูดแปลกๆ อีกครั้ง โดยบอกพ่อแม่อีกครั้งว่าได้ยินเสียงจากด้านล่าง แม่รีบถามลูกชายว่าฝันไปหรือเปล่า แต่เด็กชายส่ายหน้าแล้วชี้ไปที่พื้นบอกว่า “มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังพูดอยู่”
ในคืนต่อมาลูกชายของพวกเขายังคงถูกปลุกด้วยเสียงแปลกๆ ที่ได้ยินอยู่คนเดียว แม้ว่าจะไม่มีใครในบ้านได้ยินเสียงอะไรเลยก็ตาม สุดท้ายจึงตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพจิต แต่ทุกอย่างเป็นปกติดี ทั้งคู่เริ่มกังวลว่าบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่อาจมี “บางสิ่งบางอย่าง” ที่ไม่ดี จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อื่น
แต่หลังจากนั้นก็ยังคงเกิดปรากฏการณ์แบบเดิมที่บ้านหลังใหม่ พวกเขาสังเกตอยู่เสมอว่าลูกมีบางอย่างที่แตกต่างจากเด็กทั่วไปมาก และดูเหมือนจะมีความไวในการได้ยินมาก ครั้งหนึ่งระหว่างที่แม่กำลังทำอาหารอยู่ จู่ๆ ลูกชายก็ตะโกนว่า “แม่ พ่อกลับมาแล้ว” ไม่กี่นาทีต่อมา พ่อก็เดินเข้ามาในบ้านจริงๆ หลังจากนั้นลูกก็มักจะแจ้งล่วงหน้า 2-3 นาทีเสมอว่าพ่อจะกลับมาเมื่อไหร่ พวกเขาลองใจลูกชายหลายครั้งโดยกลับมาจากที่ทำงานคนละเวลา แต่เด็กชายก็ยังคงพูดได้ถูกต้องเสมอ
หลังจากนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจทดสอบลูกชายด้วยการทดสอบแบบใหม่ เนื่องจากรถรับ-ส่งโรงเรียนอนุบาล มีพนักงานขับรถ 3 คนผลัดกันขับ จึงขอให้ลูกชายของเธอเดาว่าคนขับคนไหนจะมารับเขาในวันนี้ และลูกชายสามารถพูดชื่อคนขับได้ถูกต้องเสมอ ในตอนนี้ทั้งคู่เริ่มเชื่อว่าลูกชายของพวกเขาเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถพิเศษ
เรื่องราวของเด็กชายแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่สถานีโทรทัศน์ของมณฑลก็เชิญเขาไปแสดง “พลังพิเศษ” ที่นั่น พิธีกรได้สุ่มโทรออก 6 หมายเลขบนโทรศัพท์ โดยเปล่งเสียงที่เกือบจะเหมือนกัน แต่เด็กชายยังคงแยกหมายเลขได้อย่างถูกต้อง ไม่ผิดเลยสักครั้ง
หลังจากทราบเรื่องนี้ นายแพทย์กง ซู่เซิง ผู้เชี่ยวชาญด้านหูที่มีชื่อเสียงที่สุดในปักกิ่ง ตัดสินใจตรวจสุขภาพให้เด็กชายด้วยตัวเอง แพทย์บอกว่าโครงสร้างหูของเขาเป็นปกติ แต่เหตุผลเพราะเขามีความไวต่อความละเอียดของเสียง ดังนั้นจึงสามารถแยกแยะลักษณะของเสียงต่างๆ ผ่านหูของเขาได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเขายังมีความจำระยะยาวที่ดีกว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกันอีกด้วย
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของพ่อก่อนที่จะเข้าไปในบ้าน หรือแยกแยะเสียงของคนขับรถโรงเรียนได้ด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องที่เขาได้ยินคนคุยกันใต้พื้นบ้าน ทั้งๆ ที่บ้านอยู่ชั้นหนึ่ง เป็นเพราะบ้านนั้นสร้างอยู่บนเนิน เชิงเขามีที่จอดรถจึงมีคนเข้าออกตลอดเวลา นั่นเป็นสาเหตุที่เด็กชายได้ยินเสียงคนอื่นคุยกัน แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะไม่ได้ยินอะไรเลยก็ตาม
ชื่อของเด็กชายโด่งดังอย่างรวดเร็ว จึงมีบางคนเข้ามาหาด้วยความปรารถนาที่จะทำธุรกิจ อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ของเด็กชายต่างก็ไม่ต้องการให้ลูกชายมีชื่อเสียงและทำงานหาเงินเร็วเกินไป เพราะนั่นอาจส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของเขาอย่างมาก จึงปฏิเสธไปทั้งหมด กระทั่งไม่กี่ปีต่อมา เด็กชายตกหลุมรักเปียโน และคว้ารางวัลใหญ่มากมาย ติมเต็มความฝันในการเป็นนักเปียโนที่ยอดเยี่ยม