อดีตแฟนสาวดาราหนุ่ม ท็อป ณฐกร พร้อมทนายเจมส์ ขึ้นศาลสืบพยาน ปมถูกทำร้ายร่างกาย เผยไม่กังวลคดี เชื่อมั่นหลักฐาน ร่ำไห้ฝังใจไม่กล้ามีรักใหม่
จากกรณีที่ หญิงสาวรายหนึ่งอดีตแฟนสาว ดาราหนุ่ม ท็อป ณฐกร ไตรกิศยเวช แจ้งความดำเนินคดีถูกฝ่ายชายทำร้ายร่างกาย และกักขังหน่วงเหนี่ยว เมื่อปี 64 ที่ผ่านมา มีการไกล่เกลี่ยครั้งแรกแต่ไม่สำเร็จ ซึ่งคดียืดเยื้อมานานกว่า 1 ปีแล้ว
ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 65 หญิงสาวผู้เสียหาย พร้อมทนายความ นายนิติธร แก้วโต หรือ ทนายเจมส์ เดินทางมาที่ศาลแขวงพระนครเหนือ เพื่อสืบพยาน พร้อมเปิดใจกับผู้สื่อข่าว
โดย ทนายเจมส์ เผยว่า “ช่วงเช้าศาลท่านเมตตาไกล่เกลี่ยให้อีกรอบนึง แต่ไม่สำเร็จ เลยสืบพยานกัน มีการสืบตัวผู้เสียหายก่อน เสร็จแล้ว แต่ทางฝั่งของจำเลยยังไม่ได้ถามค้าน รอฝั่งจำเลยถามค้านมาก่อน ฝั่งท่านอัยการและทางฝั่งซึ่งเป็นผมทนายโจทก์ร่วมจะถามติงกลับ วันนี้มีพยานทั้งหมด 4 ปาก ที่อัยการเตรียมมาก็จะมีผู้เสียหาย พนักงานโรงแรม พนักงานสอบสวน แล้วคุณหมอ แต่คุณหมอไม่น่าจะสืบ แต่เป็นการเข้ารับข้อเท็จจริงกัน”
แนวโน้มคดีออกไปในทิศทางไหน? ทนายเจมส์ : “ผมขออนุญาตไม่ตอบเรื่องแนวโน้ม แต่ก็มั่นใจในตัวท่านอัยการที่ท่านรวบรวมพยานหลักฐาน ตั้งแต่พนักงานสอบสวน มั่นใจในตัวพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการว่าท่านรวบรวมพยานหลักฐานได้ค่อนข้างดี ในส่วนของผมก็จะมีพยานหลักฐานอื่นอีก เช่น คลิปจากกล้องวงจรปิด ผมก็เอามาเสริมเข้าไปเพื่อให้พยานหลักฐานหนักแน่นขึ้น”
คาดหวังว่าจะไกล่เกลี่ยได้สำเร็จหลังจากยืดเยื้อมานาน? อดีตแฟน : “มันก็นานแล้วเนอะ ประมาณปีกว่าแล้ว จริงๆ มันเลยคำว่าไกล่เกลี่ยมาแล้ว ตอนนี้มาสู้กันด้วยหลักฐานแล้ว ซึ่งหลักฐานทุกอย่างอยู่ในชั้นศาลหมดแล้ว”
ทนายเจมส์ : “ทางจำเลยเขาไม่ประสงค์จะไกล่เกลี่ย ในมุมของเขาก็มองว่าเขาไม่ผิด ทางฝั่งผมก็เอาตามที่พยานหลักฐานมี ฝั่งเขามีพยานหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ก็ว่ากันไป”
มองในมุมทนาย ที่เขามองว่าเขาไม่ผิด แล้วมันมีจุดไหนที่เข้าข่ายที่เขาสามารถบอกได้ว่าเขาไม่ผิด?
ทนายเจมส์ : “ตรงนี้ผมยังไม่เห็นแนวทางการต่อสู้ของจำเลยนะครับ ผมไม่ก้าวล่วงจริงๆ เป็นสิทธิและเสรีภาพของเขาที่เขาจะต่อสู้ในเชิงคดี ตัวจำเลยจะปฏิเสธยังไงก็ได้ จะเบิกความยังไงก็ได้ตามสิทธิ์ที่เขามีรัฐธรรมนูญรับรองอยู่ว่าสิทธิของบุคคลย่อมไม่เบิกความให้ตัวเองได้รับความเสียหาย เขาจะยังไงก็ได้ แต่สิ่งที่เขาพูดกับหลักฐานที่เรามีอะไรจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน อันนี้เป็นหน้าที่ของศาลแล้ว ทางผมไม่ได้กังวลอะไร ผมมั่นใจในตัวพยาน หลักฐาน บางอย่างที่เราเห็นว่ามันสามารถเอาไปเสริมในสำนวนได้ เราก็ได้ยื่นไปแล้วในวันนี้”
ประเมินค่าเสียหายไปเท่าไหร่? ทนายเจมส์ : “คดีนี้เป็นคดีอาญากับแพ่งรวมกัน ข้อหาก็มีทำร้ายร่างกาย กับ กักขังหน่วงเหนี่ยว ในความคิดเห็นของผม ไม่ใช่ว่าไปใส่กุญแจมือเขานะ เพียงแค่ดึงแขนเขาไม่ให้ไปไหนมาไหน อันนี้ก็เป็นการหน่วงเหนี่ยวแล้ว ทำให้เขาหมดสิทธิและเสรีภาพในตัวเองที่เขาจะไปไหนมาไหน ส่วนที่เราเรียกร้องไปก็ยังเป็นเหมือนเดิม คือ ค่าเสียหายก็ว่ากันไปตามหลักฐาน มันเป็นตัวเลขที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่ละคนมีสภาพจิตใจที่แตกต่างกัน บางคนเขาบอกกระทบกระเทือนจิตใจ เรียกล้านนึง บางคนบอกล้านนึงไม่เหมาะสม แต่คนที่จะวินิจฉัยชี้ขาดว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ตัวเลขอยู่ที่เท่าไหร่ ยังไง ศาลท่านจะวินิจฉัยเอง มันเอาความรู้สึกของแต่ละคนมาวัดกันไม่ได้ ทางเราเรียกไปตัวเลขรวมๆ ประมาณ 300,000 บาท แต่ว่าศาลท่านจะให้เท่าไหร่ยังไงนั้น ทางน้องผู้เสียหายเขาเข้าใจแล้ว เขาประเมินอยู่ว่าสิ่งที่ทำกับเขาควรจะได้เท่านี้ ส่วนศาลท่านจะให้เท่าไหร่แล้วแต่ดุลยพินิจของท่าน”
สภาพจิตใจผู้เสียหายตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? อดีตแฟน : “มันก็ไม่ได้หายไปนะ มันก็ยังอยู่ นึกถึง พูดถึง มันก็ยังร้องไห้ตลอด พอนึกถึงเหตุการณ์นั้นมันก็ยังฝังใจอยู่ แต่ตอนนี้โชคดีคือมีทนายดี เขาจะให้กำลังใจ แนะนำเราให้เราไปทำบุญให้เราลืมเรื่องเครียด เรื่องที่เราเศร้า”
วันนี้ได้มาเจอเขาเป็นอย่างไรบ้าง? อดีตแฟน : “ก็นึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่เขาทำเราอยู่ดี ใครก็ตามไม่ควรโดนทำร้ายร่างกาย คนเราคุยกันได้ มีอะไรก็คุยกัน”
เราหาทางออกกับความรู้สึกนี้ยังไงบ้าง เห็นว่าต้องหาหมอทุกเดือน? อดีตแฟน : “ต้องกินยาเพื่อให้มันนอนหลับ แล้วก็สวดมนต์ เราก็ไปเป็นจิตอาสา เปลี่ยนความเศร้าของเราให้มันเป็นการช่วยเหลือสังคม มันก็ดีขึ้น พอเราเห็นคนอื่นมีความสุข เราก็มีความสุขไปด้วย แต่มันก็ยังไม่ได้หายไป”
กังวลกับคดีไหม? อดีตแฟน : “ไม่ได้กังวล แค่รู้สึกว่า…ก็เชื่อในความยุติธรรม ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่มาว่าเรา คุณไม่ได้มายืนอยู่ในจุดเรา ก็เชื่อในทนายความ เชื่อในกระบวนการยุติธรรม”
คนมองว่าเรามีเจตนาในการถ่ายคลิป? อดีตแฟน : “เห็นกระแสนี้อยู่ค่ะ ก็รู้สึกเสียใจอยู่นะ ไม่ว่าเราคบใครเราก็ถ่ายไว้แบบนี้ตลอด เราไม่เคยเอาไปเผยแพร่ในที่สาธารณะเลย มันไม่มี”
ยืนยันว่าถ่ายเก็บไว้ส่วนตัวจริงๆ ไม่เคยเอามาเผยแพร่ แบล็กเมล์? อดีตแฟน : “ก็ถ่ายรูปแฟนปกติ ถ้าเขาไม่ใช่แฟนเราเราก็ไม่ถ่าย ถ้าเขาเป็นใครก็ไม่รู้เราก็ไม่เคยถ่าย”
แล้วทำไมเขาถึงคิดว่าเราจะถ่ายไว้แบล็คเมล์? ทนายเจมส์ : “ไม่ทราบว่าเขาทำไมคิด ใครพูดว่าถ่ายรูปไว้แบล็กเมล์ก็ไม่รู้นะ เมื่อกี้ผมก็ถามในบัลลังก์นะครับว่าตอนที่น้องเป็นพยาน ถ่ายไปทำไม ถ่ายเพื่ออะไร เขาบอกว่าถ่ายแบบโมเมนต์แฟน แล้วไม่ใช่ถ่ายครั้งแรก ถ่ายมานานแล้ว 2 ปีมีรูปเต็มไปหมดเลย ที่เขาลบรูปก็ไม่ได้ลบเฉพาะวันที่เกิดเหตุเท่านั้น แต่เป็นการลบย้อนหลังไปเกือบหมดที่คบกัน ผมไม่รู้ว่าสาเหตุที่ลบเพราะอะไร ลบ ถ้าเกิดว่ากลัวว่าจะเป็นรูปลับ ที่มันเกิดขึ้นในวันที่เกิดเหตุ ทำไมถึงไปลบอันเก่าๆ ด้วย”
อีกฝ่ายบอกเรายังลบรูปไม่หมด คือยังไง? ทนายเจมส์ : “รูปไม่หมดน่าจะเป็นรูปเก่าๆ เมื่อปีสองปีที่แล้ว คือเขาคบกันมา 2 ปีแล้วนะก่อนเกิดเหตุ เพราะฉะนั้นรูปที่ถ่ายไว้มีเยอะแน่นอน”
อดีตแฟน : “ถ่ายไว้หมดค่ะ ไปสนามบินด้วยกัน ไปดูหนัง ไปวัดก็ถ่าย บางทีถ่ายเขาแคะจมูก ถ่ายตอนเขาหาวเราก็แอบถ่ายมันตลกดีคนเป็นแฟน ชอบถ่ายรูปเก็บไว้”
มีรูปลับส่วนตัวอะไรที่ทำให้เขารู้สึกกลัวจนอ้างว่าเราถ่ายเพื่อเก็บไว้แบล็กเมล์? อดีตแฟน : “ต้องถามอย่างนี้ดีกว่าเจตนาที่เขากลัวเพราะอะไร ถ้าเขาคบเราคนเดียว คนเราเป็นแฟนกันคบคนเดียวมันไม่มีอะไรให้น่ากลัวเลยค่ะ”
ตอนนี้ยังเก็บรูปคู่ไว้ไหม? อดีตแฟน : “ก็มีค่ะ ตอนเป็นแฟนกันเวลาเรารักใครเราก็ตั้งใจรัก ตอนนั้นเขาเป็นแฟนเรา เราก็รักเขา(เสียงสั่นเครือ) เราก็ซื่อสัตย์ต่อเขา บางทีไม่ได้เจอกันก็ดูรูป ถามว่าตอนนี้ยังเก็บรูปถ่ายคู่กับเขาอยู่ไหม ก็มีเก็บค่ะ ไม่ได้ลบ (เหตุผลที่เก็บไว้เพราะอะไรนอกจากเป็นหลักฐาน?) ตอนนี้ไม่ได้คิดเรื่องหลักฐานเลยค่ะ ผู้ชายคนนี้เราเคยรักเขา (ตอนนี้ยังรักเขาอยู่ไหม?) ไม่แล้วค่ะ ตอนนี้ไม่ได้รักแล้ว”
หลังจากเกิดเรื่อง อีกฝ่ายได้ติดต่อมาพูดคุยกันไหม? อดีตแฟน : “ไม่เคยติดต่อมาแสดงความรับผิดชอบหรือติดต่อมาห่วงใยคนเป็นแฟนกันหรือในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งไม่มีค่ะ”
คดีนี้จะจบเมื่อไหร่ คาดว่าจะยืดเยื้ออีกนานไหม? ทนายเจมส์ : “วันพรุ่งนี้(17มิ.ย.) สืบพยานจำเลยอีกหนึ่งวัน ก็น่าจะนัดฟังคำพิพากษาแล้ว แต่ผลคำพิพากษาไม่รู้ว่าท่านจะพิพากษาในรูปแบบไหน มันไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ไปต่อยไปตีกัน คือเกิดจากความสัมพันธ์ของคนเป็นแฟนกัน เรื่องราวที่มันเกิดขึ้นผมคิดว่ามันน่าจะเป็นเรื่องทั่วไปที่คู่รักเขาเป็นกัน เพียงแต่ว่าวันนี้พอไม่ได้ปรับความเข้าใจกันมันเป็นเรื่องของคดีอาญา ความผิดยอมความไม่ได้ แล้วพอคุยกันไม่จบก็ต้องมาให้ศาลท่านวินิจฉัยว่าการกระทำในลักษณะนี้มันผิดกฎหมายมั้ยหรือมันไม่ผิด หรือเขามีเจตนาอะไร ต้องเป็นแนวทางนำสืบของฝ่ายจำเลยเขา”
สิ่งที่เราเรียกร้องตอนนี้ต้องการให้ฝ่ายผู้ชายรับผิดชอบยังไง? อดีตแฟน : “มันเป็นเรื่องมานานแล้วตั้งแต่แรกถ้าสมมติเขามาแสดงความรับผิดชอบ ถ้าไม่ได้รักเราความเป็นเพื่อนมนุษย์อีกคนหนึ่งได้รับความทุกข์ทั้งกายทั้งใจ(เสียงสั่นเครือ) การแสดงความรับผิดชอบถามทุกข์สุขเขายังไม่มีให้เราเลย ตอนนี้ปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการความยุติธรรมแล้วเพราะหลักฐานทุกอย่างอยู่ในชั้นศาลทั้งหมด”
ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้เสียงสั่นร้องไห้ตลอด คิดว่าสภาพจิตใจเราตอนนี้จะมีโอกาสหายกลับไปเป็นปกติไหม เข้มแข็งไม่เป็นอาการแบบนี้แล้ว? อดีตแฟน : “หนูยังไม่กล้ามีแฟนใหม่เลย (ร้องไห้) หนูยังไม่กล้าเริ่มต้นใหม่กับใครเลยค่ะ หนูกลัวเจอแบบนี้อีก บางทีนึกถึงเรื่องนี้มันก็ร้องไห้ตลอด ใครถามถึงเรื่องนี้ร้อยครั้งก็ร้องร้อยครั้ง(ร้องไห้สะอื้น) เราไม่ควรโดนแบบนี้”
ยืนยันว่าสิ่งที่เราเจอมารุนแรง แม้อีกฝ่ายจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา? อดีตแฟน : “พ่อแม่ยังไม่ตีเราเลยค่ะ เขาเป็นคนที่เรารัก เราคบกัน ทำไมเขาต้องมาทำร้ายเรา มีอะไรคุยกันสิ ไม่รักหรืออะไรก็คุยกันได้”
อยากบอกอะไรกับเขาไหม? อดีตแฟน : “ก็ไม่บอกเขาแล้วกัน พูดกว้างๆ แล้วกันนะคะ ถ้าใครมีแฟนซื่อสัตย์ต่อแฟนดีที่สุดค่ะ เราชื่นชมทนายเจมส์มาก เขาเป็นคนที่รักภรรยามาก อยากมีแบบพี่ทนายเจมส์สัก 10 คนบนโลกนี้ ผู้ชายที่ซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียวมันโคตรเท่สำหรับเรา”
ทนายเจมส์ : “เรื่องคดีความในเรื่องของความเป็นสามีภรรยาแฟนกันต่อให้มีจดทะเบียนสมรสก็ตาม ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปทำร้ายร่างกายกัน ขนาดคุณมีทะเบียนสมรสเมียคุณไม่ยอม คุณยังไปข่มขืนเขาไม่ได้เลย อยากให้เคารพสิทธิ์ซึ่งกันและกัน มีอะไรคุยกัน ถ้าอะไรที่คุณคิดว่าคุณถูกกระทบกระเทือนสิทธิของคุณ ใช้สิทธิ์ตามกฎหมายครับ อย่าไปใช้ความรุนแรงเพราะมันอาจจะนำคดีอื่นๆ ติดตามมาถึงคุณก็ได้เพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบ”
ความผิดในคดีทำร้ายร่างกายโทษหนักแค่ไหน? ทนายเจมส์ : “จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับ 60,000 บาทคือโทษสูงสุด แต่ว่าโทษอันหนึ่งที่ตอนแรกแจ้งความกันไปคือทำร้ายไม่เป็นเหตุอันตรายต่อกายและจิตใจ แค่ฟกช้ำดำเขียว โทษจำคุก 1 เดือนปรับ 10,000 บาทเป็นคดีลหุโทษ รับสภาพก็ปรับ 1,000 ก็กลับบ้านแล้วสมมติเป็นคดีน้อยๆ นะ แต่พอมันเลยเถิดมามันไม่ได้แล้ว พอมันมีข้อเท็จจริงเรื่องเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือไม่เข้ามาก็ต้องให้ศาลท่านวินิจฉัย”
ประเมินจากท่าทีคู่กรณีคาดว่าเขาจะรับผิดชอบเรื่องค่าความเสียหายไหม? ทนายเจมส์ : “เขาก็คงสู้สุดฤทธิ์เลย เขาก็บอกว่าเขาเป็นนักกีฬา เขารับไม่ได้ว่ามาทำร้ายร่างกายผู้หญิง ผมเข้าใจนะอาจจะยื้อยุดฉุดกระชากกันแล้วเกิดรอยแผล ถามว่าตั้งใจมั้ย มันก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก มันเป็นไปตามอารมณ์ รู้มั้ยว่าความลับอยู่ในมือถือความลับมากความลับน้อยวัดจากอะไร วัดจากความเร็วที่ผู้ชายดึงโทรศัพท์คืน ถ้าไม่มีความลับก็เอาไปเลย แต่ถ้ามีความลับก็รีบดึงคืนมาเลย”