หนุ่มร้อง ‘ทนายตั้ม’ ช่วย ถูกลวง-จับใส่กุญแจมือ รุมกระทืบต่อหน้าตำรวจ แถมโดนดำเนินคดี เพราะพกกระสุนปืน รถต้องสงสัยบุกหมู่บ้าน
วันที่ 5 ก.พ.65 ผู้สื่อข่าวได้รับทราบจาก นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน ว่ามีครอบครัวหนึ่งจาก จ.สมุทรปราการ มาร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากลูกชายถูกหลอกไปให้กลุ่มชายฉกรรจ์รุมทำร้ายร่างกาย ต่อหน้าตำรวจนายหนึ่ง
โดยที่สำนักงานกฎหมายของทนายตั้ม พบกับครอบครัวของ นายเอ (นามสมมติ) อายุ 22 ปี มาขอให้ทนายตั้ม ช่วยเหลือเรื่องคดีความระหว่างนายเอกับเจ้าของโรงงานรับซื้อของเก่าแห่งหนึ่ง นายเอ เล่าว่า เหตุเกิดในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 30 ม.ค. เวลาประมาณ 19.15 น. โดยวันนั้น หลังจากที่ตนเลิกฝึกซ้อมยิงปืนแล้ว ก็ได้รับโทรศัพท์จากแฟนสาวที่เป็นลูกจ้างอยู่ในโรงงานว่า เจ๊เจ้าของโรงงานต้องการจะพูดคุยตกลงกับตนในเรื่องที่เคยมีปัญหากัน ตนจึงไปที่โรงงาน โดยยังคงมีกระเป๋าคาดเครื่องกระสุนปืนติดที่เอวมาด้วย
เมื่อไปถึงกลับถูกชักชวนให้ไปพูดคุยกันที่โกดังของโรงงาน ทีแรกตนจะไม่ยอมไปแต่อีกฝ่ายบอกว่าไม่มีใครมีแค่ 3 คนเท่านั้นคือ เจ๊ ลูกชายเจ๊ และแฟนสาวของตน ปรากฏว่าเมื่อไปถึงตนถูกบังคับให้นั่งเก้าอี้ แล้วก็โดนยึดเอาโทรศัพท์ ก่อนจะมีผู้ชาย 4 – 5 คน และผู้หญิงอีก 1 คนเดินเข้ามายืนล้อมวง จากนั้นลูกชายเจ๊เจ้าของโรงงานก็บังคับให้ตนก้มกราบเท้าขอโทษ ระหว่างนั้นก็มีตำรวจนายหนึ่งเดินเข้ามาล็อคกุญแจมือของตนไว้ ก่อนจะพูดคุยกันอีกสักพัก เมื่อเห็นว่าตกลงกันไม่ได้ ตนจึงถูกรุมทำร้ายร่างกายต่อหน้าตำรวจนายดังกล่าว จนตนทนไม่ไหวต้องตะโกนบอกว่าจะไปโรงพัก ฝ่ายตรงข้ามจึงยอมหยุด แล้วให้ตำรวจนายนั้นพาตนไปที่โรงพัก
เมื่อไปถึงตนก็ถูกอีกฝ่ายแจ้งความว่า ข่มขู่ด้วยการพกพาเครื่องกระสุนปืนเข้าไปในโรงงานทั้งๆ ที่ไม่มีอาวุธปืน จนตนถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า มีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งตนอยากจะแจ้งความกลับข้อหาทำร้ายร่างกาย แต่ตำรวจบอกว่าให้ไปตรวจร่างกายมาก่อน ทั้งนี้ทางครอบครัวจึงขอทำเรื่องประกันตัวออกมา พร้อมกับพาเข้าไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเพื่อให้มีประวัติการเจ็บป่วยและการรักษาไว้ แต่ก็ยังไม่ได้เข้าแจ้ง เพราะว่าไม่มั่นใจในการทำงานของตำรวจ และไม่เชื่อมั่นด้วยว่าจะได้รับความเป็นธรรม
เนื่องจากมีคนบอกว่าฝ่ายคู่กรณีมีญาติและรู้จักกับคนใหญ่คนโตเป็นนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ ดังนั้นทางครอบครัวจึงได้เข้ามาขอให้ทนายตั้มช่วยเหลือเกี่ยวกับการเดินหน้าในคดีนี้ต่อไป เพราะตนเชื่อมั่นว่าการกระทำของตนนั้นหากจะผิดก็เพียงแค่เรื่องของการพกพาเครื่องกระสุนปืนติดตัวเข้าไปด้วย แต่เหตุที่ต้องมาถูกทำร้ายร่างกายคราวนี้ ไม่ควรเกิดขึ้นและคู่กรณีกระทำการที่เกินกว่าเหตุอย่างแน่นอน ส่วนแฟนสาวของตนที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยไม่สามารถช่วยเหลือได้เพราะกลัวคู่กรณี จนเมื่อตนหลุดพ้นออกมาแล้วแฟนสาวก็ถูกให้ออกจากงานไปด้วย
ด้านแม่ของ นายเอ เปิดเผยว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องขึ้นกับลูกชายเพียง 1 วัน มีความผิดปกติเกิดขึ้นคือ มีรถต้องสงสัยขับวนเวียนเข้ามาในหมู่บ้านและขับผ่านหน้าบ้านของตนอยู่หลายครั้ง ซึ่ง รปภ.หน้าหมู่บ้านบอกว่า รถต้องสงสัยคันดังกล่าวได้ขอเข้ามาในหมู่บ้านแต่ รปภ.ไม่อนุญาตเพราะไม่มีหลักฐานใดๆ แสดง ปรากฏว่ารถคันดังกล่าวพยายามที่จะขับชนไม้กั้น รปภ.จึงต้องเปิดให้เข้ามา จากนั้นก็ขับมาวนหน้าบ้านของตนอยู่หลายครั้ง กระทั่งวันต่อมาลูกชายก็มาเกิดเรื่องขึ้น ซึ่งตนสงสัยว่าจะเป็นการกระทำของกลุ่มดังกล่าว จึงมาขอให้ทนายตั้มช่วยเหลือ
โดยส่วนตัวนั้นได้พูดกับลูกชายว่า ถ้าลูกผิดก็ต้องเข้าคุก แต่ถ้าลูกไม่ผิดก็จะเดินหน้าสู้ให้ถึงที่สุดเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมกลับคืนมา ซึ่งตนเชื่ออย่างหนึ่งว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ลูกชายไม่สามารถที่จะไปต่อสู้ขัดขืนใครได้ เพราะลูกชายประสบอุบัติเหตุขาหักกระดูกเคลื่อนเดินไม่ปกติมานานนับปีแล้ว อีกทั้งยังไปคนเดียวด้วย ดังนั้นการต่อสู้ขัดขืนหรือพกพากระสุนปืนเข้าไปในโรงงานเพื่อข่มขู่คู่กรณีทั้งๆ ที่ไม่มีอาวุธปืน หรือพยายามจะทำร้ายผู้อื่นจนนำมาสู่การถูกรุมทำร้ายร่างกายจึงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ทางด้าน ทนายตั้ม กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับเรื่องจากครอบครัวนี้แล้ว ก็จะต้องขอตรวจสอบเอกสารหลักฐานทั้งหมดเสียก่อนเพื่อนำไปสู่การพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่เท่าที่ดูจากใบรับรองแพทย์พบว่าถูกทำร้ายร่างกายจริง แต่จะเกิดจากสาเหตุอะไรก็คงต้องสืบหาหลักฐาน ส่วนเรื่องที่มีตำรวจอยู่ในที่เกิดเหตุขณะที่น้องถูกรุมทำร้ายร่างกายด้วยนั้น ก็คงจะต้องเข้าไปขอพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและสอบถามข้อมูลจากทางโรงพักต้นสังกัดด้วยว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดถึงขั้นต้องใช้กุญแจล็อกมือน้องเอาไว้ แม้น้องจะพกเครื่องกระสุนปืนเข้ามาแต่ก็ไม่มีอาวุธร่วมด้วยแต่อย่างใดทั้งสิ้น จึงเป็นข้อสงสัยประการหนึ่งว่า ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำขณะนั้น ซึ่งหลังจากนี้ก็จะต้องมีการพาน้องไปแจ้งความดำเนินคดีกลับ เพื่อเข้าสู่กระบวนการสืบสวนสอบสวนและดำเนินการตามกฎหมายที่ก่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อไป