วันที่ 31 ส.ค. 66 พ.ต.ต.วิษณุชัย คารมณ์ สว.(สอบสวน) สภ.เมืองบึงกาฬ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 บึงกาฬ ว่ามีผู้เสียชีวิตไม่ทราบสาเหตุในบ้านหนองตอ หมู่ที่ 7 ต.นาสวรรค์ อ.เมืองบึงกาฬ จึงพร้อมด้วย พญ.พัณญิตา จันทรพัชร แพทย์เวร รพ.บึงกาฬ และหน่วยกู้ภัยนทีธรรม จึงรีบออกไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว
พบร่างผู้เสียชีวิตเป็นชายนอนอยู่บริเวณห้องหลังบ้านหน้าห้องน้ำ สภาพศพนอนคว่ำหน้า ไม่สวมใส่เสื้อผ้า มีเลือดและน้ำเหลืองไหลนองพื้น ไม่พบบาดแผลตามร่างกาย คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน ศพเริ่มขึ้นอืดมีหนอนชอนไชตามร่างกาย และส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
ทราบชื่อต่อมาว่านายเคียงฮี อายุ 86 ปี และบนเตียงนอนห่างศพผู้ตายประมาณ 2 เมตรพบ นางสมศรี อายุ 76 ปี ภรรยากำลังนั่งอ่านหนังสือและบ่นพึมพำ เนื่องจากเป็นผู้ป่วยติดเตียงและยังเป็นโรคอัลไซเมอร์ นั่งและนอนเฝ้าศพสามี โดยไม่ทราบว่าสามีได้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน่าสลดใจ
ต่อมาทาง จนท.หน่วยกู้ภัยนทีธรรม ได้ขออนุญาตนางสมศรี ภรรยาผู้ตาย ซึ่งพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องได้เคลื่อนย้ายออกไปพักที่บ้านญาติฝั่งตรงข้ามก่อน โดยช่วยกันอุ้มออกจากห้องนอน ด้วยอาการที่ขัดขืนไม่พอใจ โวยวายตลอดเวลาที่ถูกอุ้ม
จากนั้นญาติได้ซื้อกับข้าวและน้ำให้กิน ดูท่าทางคงหิวมานาน เพราะเห็นกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ครั้งแรกที่กู้ภัยฯไปถึงก็ถามและตอบห้วนๆ ว่ากินข้าวแล้วหากินเอง ถามหาสามีก็บอกว่านอนอยู่นั่น และบอกแกป่วยมาเป็นเดือนแล้ว
ด้านนายปกป้อง สิทธิเสรีภาพ อายุ 64 ปี อดีต ผู้ใหญ่บ้านหนองตอ หมู่ที่ 7 ตำบลนาสวรรค์ เล่าว่าผู้ตายเป็นชาวกรุงเทพมหานคร อพยพมาอยู่ที่นี่หลายปีแล้ว ทั้งสามีภรรยาป่วยด้วยกันหลายโรค ทั้งโรคความดัน โรคโรคอัลไซเมอร์ด้วย จึงมักจะปิดประตูหน้าบ้านไม่ให้คนอื่นไปรบกวนอยู่ตลอดเวลา บางทีคนไม่รู้ไม่เข้าใจเข้าไปในบริเวณบ้านก็จะถูกดุด่า
มีลูก 3 คนเป็นชายและไปทำงานอยู่ต่างจังหวัด 1 ใน 3 คนก็เป็นห่วงพ่อแม่ ได้มาเยี่ยมและพึ่งกลับไปทำงานเมื่อเดือนที่แล้ว ส่วนอาหารการกินลูกชายก็จะโทรสั่งร้านค้าให้นำอาหารมาส่งให้พ่อกับแม่ บางทีก็เป็นวัตถุดิบ บางทีก็เป็นอาหารสำเร็จกินได้เลย
และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ส.ค.ผ่านมาที่ผ่านมีผู้พบเห็นผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย จึงสันนิษฐานว่าผู้ตายคงจะเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ เมื่อเดินออกมาแล้วลื่นล้มหัวฟาดกับพื้นบ้าน จึงทำให้เสียชีวิตอนาถดังกล่าว
ลูกชายยังเดินทางมาจัดการศพพ่อไม่ทัน แต่ได้อนุญาตให้ชาวบ้านนำไปเผาก่อนที่วัดป่าหนองนกเขียน ท่ามกลางเพื่อนบ้านไปส่งดวงวิญญาณประมาณ 50 คน แต่เนื่องจากทางพระไม่อยู่วัดเดินทางไปคารวะพระเถระชั้นผู้ใหญ่ จะกลับวัดช่วงบ่ายๆ จึงจะได้ทำการเผาศพได้ต่อไป