สมรภูมิเคียฟเดือดทะลุเดือด ผู้นำยูเครนไม่ยอมแพ้ ขอยืนยัดอยู่กับประชาชน
เมื่อวันที่ 26 ก.พ. เอเอฟพีรายงานสถานการณ์การสู้รบระหว่างกองทัพยูเครนและกองทัพรัสเซียว่า ได้ลุกลามมาถึงกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครนแล้ว โดยกองทัพยูเครนประสบความสำเร็จในการต้านทานการบุกโจมตีระลอกแรกของกองทัพรัสเซียไว้ได้ ในช่วงเช้ามืดตามเวลาท้องถิ่น
โดยสงครามดังกล่าวเรียกเสียงประณามและบทลงโทษต่อทางการรัสเซียจากนานาชาติทั่วโลก ท่ามกลางความหวาดผวาของหลายฝ่ายว่าการสู้รบที่เกิดขึ้นอาจบานปลายกลายเป็นสงครามเย็นครั้งใหม่ระหว่างชาติตะวันตกและรัสเซีย
การสู้รบดังกล่าวเกิดขึ้นหลังประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย มีคำสั่งเปิด “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ที่ภาคปกครองดอนบาสทางภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งเป็นพื้นที่ของแคว้นดอนเนตสก์และลูฮานสก์ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังฝักใฝ่รัสเซีย
แต่กองทัพรัสเซียกลับเปิดการโจมตีต่อเมืองใหญ่ทั่วทั้งยูเครน โดยแบ่งกำลังเข้าตีพร้อมกัน 3 ทิศทาง ได้แก่ จากภาคตะวันออกที่ได้รับการสนับสนุนจากปืนใหญ่ระดมยิงถล่ม, จากภาคใต้ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองเรือรัสเซียในแคว้นไครเมีย และจากภาคเหนือที่รัสเซียยกทัพเข้ามาจากประเทศเบลารุสเข้าตีกรุงเคียฟ
การสู้รบนั้นเพิ่งผ่านไปได้เพียง 48 ชั่วโมง แต่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 198 รายทั้งทหารและพลเรือน โดยกระทรวงสาธารณสุขยูเครนแจ้งว่าแบ่งเป็นเด็ก 3 ราย มีผู้บาดเจ็บอีก 1,115 คน ในนี้จำนวนนี้เป็นเด็ก 33 คน และมีประชาชนอพยพหนีตายไปยังประเทศที่มีพรมแดนอยู่ทางตะวันตกกว่า 5 หมื่นคน ซึ่งทางสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เรียกร้องให้ชาติที่อยู่ติดกับยูเครนเปิดทางในนามของมนุษยธรรม นอกจากนี้ ยังคาดว่ามีพลเรือนอีกกว่า 1 แสนคน กลายเป็นผู้พลัดถิ่น
ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวผ่านไลฟ์จากสมาร์ตโฟนของตัวเองขณะยืนอยู่บนท้องถนนในกรุงเคียฟ ว่าตนและบุคคลในรัฐบาลยูเครนซึ่งถูกหมายหัวเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของกองทัพรัสเซียนั้นยังอยู่ที่กรุงเคียฟไม่ได้หนีหายไปไหน พร้อมเรียกร้องไปยังทหารและประชาชนผู้รักชาติทั่วประเทศ ว่ากรุงเคียฟกำลังถูกโจมตีและขอให้ทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องยูเครน
นอกจากนี้ ผู้นำยูเครนเปิดเผยด้วยว่า ได้หารือทางโทรศัพท์กับผู้นำชาติตะวันตกหลายคน อาทิ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และนายโอลัฟ ช็อลทซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี และตนได้ขอรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมที่กำลังมาจากบรรดาชาติพันธมิตรแล้ว
“พวกเราทั้งหมดยังอยู่ที่นี่ครับ กองทัพของเราก็ยังอยู่ ประชาชนของเราก็ยังอยู่ พวกเรายังยืนหยัดอยู่ที่แห่งนี้เพื่อปกป้องเอกราช และประเทศชาติของเรา สิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” ประธานาธิบดีเซเลนสกี ระบุ
ด้านบรรยากาศการสู้รบนั้นยังเกิดขึ้นตามเมืองใหญ่ทั่วประเทศยูเครน โดยที่กรุงเคียฟนั้นทางรัสเซียใช้ขีปนาวุธครุยส์ยิงเข้ามาถล่ม ขณะที่กองทัพยูเครนนั้นเผยแพร่วิธีการทำระเบิดเพลิงแบบขวด หรือโมโลทอฟ ค็อกเทล ให้กับประชาชนที่ต้องการจับอาวุธเพื่อต่อสู้กันผู้รุกราน
โดยอาวุธนั้นมีทั้งของยูเครนเองและที่ยึดได้มาจากทหารรัสเซีย ขณะที่ประชาชนชาวยูเครนส่วนใหญ่ที่ติดอาวุธนั้นไม่เคยมีประสบการณ์การสู้รบ หรือได้รับการฝึกการใช้อาวุธ แต่ทั้งหมดยืนยันว่าจะยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพรัสเซีย ท่ามกลางสภาพซากความเสียหายในเมืองและศพผู้เสียชีวิตที่อยู่ตามริมท้องถนน
กระทรวงกลาโหมยูเครน ระบุว่า กองทัพประสบความสำเร็จในการยิงเครื่องบินของรัสเซียตกอีก 2 ลำ ได้แก่ เฮลิคอปเตอร์ 1 ลำ และเครื่องบินทิ้งระเบิดอีกลำ บริเวณแนวรบด้านตะวันออกของประเทศ และสามารถยิงทำลายเครื่องบินลำเลียงได้อีก 1 ลำ ห่างจากกรุงเคียฟไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราว 30 กิโลเมตร ทั้งยังอยู่ระหว่างการต่อต้านขบวนยานเกราะของรัสเซียที่เข้ามาในพื้นที่ทางเหนือของกรุงเคียฟ ห่างจากเมืองหลวงไปราว 40-80 ก.ม. โดยยูเครนระบุว่ามีทหารรัสเซียถูกสังหารไปแล้วกว่า 2,800 นาย
ขณะที่ กระทรวงกลาโหมรัสเซีย ระบุว่า กองทัพรัสเซียมุ่งเน้นการโจมตีไปที่องคาพยพของกองทัพยูเครนด้วยจรวดร่อน หรือครุยส์ มิสเซิล ที่ถูกปล่อยมาจากทั้งเครื่องบิน และเรือรบทางใต้ โดนายอิกอร์ โคนาเชนคอฟ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า กองทัพรัสเซียพยายามหลีกเลี่ยงการก่อความเสียหายให้กับพลเรือนและย่านชุมชน แต่การสู้รบนั้นส่งผลให้มีอาคารพลเรือนเสียหายจากการถูกโจมตีหลายแห่ง และกองทัพรัสเซียสามารถยึดครองเมืองเมลิโตโปล ทางตะวันออกเฉียงใต้ไว้ได้ โดยยืนยันว่ากองทัพรัสเซียพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะลดความเสียหายต่อพลเรือนท่ามกลางการยั่วยุของหน่วยจู่โจมพิเศษและกลุ่มผู้คลั่งชาติ
นายโคนาเชนคอฟ อ้างว่า กองทัพรัสเซียสามารถทำลายอาคารของกองทัพยูเครนไปได้แล้วกว่า 820 แห่ง ฐานทัพอากาศ 14 แห่ง สถานีเรดาร์ 48 แห่ง ระบบต่อต้านขีปนาวุธและอากาศยานกว่า 300 แห่ง ทำลายเครื่องบินขับไล่ได้ 7 ลำ เฮลิคอปเตอร์ 7 ลำ โดรนอีก 9 ลำ รถถังและยานเกราะอีก 87 คัน ขณะที่กองทัพเรือรัสเซียสามารถทำลายเรือรบของยูเครนไปได้ 8 ลำ แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าสูญเสียไปเท่าใด