ส.ว.สมชาย เผยสเปก นายกฯคนใหม่ มีความซื่อสัตย์-สุจริต-มีวิสัยทัศน์ เมินโซเชียลกดดันให้เลือก ‘พิธา’ ซัดอย่าบังคับให้เลือกคนที่เชียร์
เมื่อวันที่ 16 พ.ค.2566 นายสมชาย แสวงการ ส.ว. กล่าวถึงกระแสสังคมกดดันให้ส.ว. ตัดสินใจโหวตเลือกนายกฯ โดยให้เคารพฉันทามติของประชาชนที่สะท้อนจากผลเลือกตั้ง ว่า ตนขอให้ความเป็นธรรมกับ ส.ว.ด้วย เนื่องจากกระบวนการเลือกนายกฯ ในที่ประชุมรัฐสภานั้น ยังมีขั้นตอนและต้องใช้เวลา ทั้งการรับรอง ส.ส. ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีกรอบเวลา 60 วัน ซึ่งเชื่อว่า กกต.จะตรวจสอบเรื่องร้องเรียนให้เสร็จ คงไม่ปล่อยให้เข้าสภา แล้วสอยทีหลังแน่นอน
จากนั้นเป็นกระบวนการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร งานรัฐพิธี หลังรับรองผลเลือกตั้ง 15 วัน จากนั้นไม่เกิน 7 วัน ต้องประชุมเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ต่อจากนั้นคือการเลือกนายกฯ เชื่อว่าจะมีเวลาอีก 2 เดือน ดังนั้น ขณะนี้ ยังไม่ถึงขั้นตอนและไม่ทราบชัดเจนว่า จะเสนอชื่อใคร เข้าสู่รัฐสภาให้ลงมติเลือกนายกฯ ทราบแค่ความเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งพรรคเพื่อไทย ให้พรรคก้าวไกลดำเนินการไปก่อน ซึ่งสูตรจัดตั้งรัฐบาลก็ยังไม่นิ่ง
นายสมชาย กล่าวว่า ส่วนที่สังคมกดดัน ส.ว. ด้วยการทำโพลออนไลน์นั้น ตนมองว่าเป็นโพลวิชาการทำได้ แต่จะส่งผลให้ส.ว.ต้องปฏิบัติตามนั้นหรือไม่ ตนเชื่อว่ากดดันไม่ได้ เพราะส.ว.มีวุฒิภาวะ ดังนั้น หากไม่เห็นกระรอก อย่าเพิ่งโกร่งหน้าไม้ ยังมีเวลาอีกหลายเดือน ในฐานะส.ว. หากสภาเสนอมา ซึ่งไม่รู้ว่าจะใช่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตจากก้าวไกล หรือเป็นน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือเป็น นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย ส.ว.พร้อมพิจารณา เพราะการโหวตของส.ว.หรือของตน ไม่ได้ยึดติดว่าต้องเป็นขั้วอำนาจเดิม
แต่หากวันนี้ เสนอมาแบบนี้ เป็นไปได้ว่า ส.ว.จะโหวตให้นายพิธา เป็นนายกฯ ส่วนจะได้ 60-70 เสียง หรือไม่ ตนตอบไม่ได้ แต่เป็นไปได้ทั้งหมด
นายสมชาย กล่าวต่อว่า สำหรับสูตรตั้งรัฐบาล 310 เสียง ต้องพิจารณาถึงการจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ก่อน ซึ่งหลังการเลือกตั้งปี 2562 พบว่ามีการแข่งขันตั้งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย เสนอนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคอนาคตใหม่ หากขั้นตอนตกลงเรื่องนโยบายตกลงไม่ได้ เจรจาเก้าอี้รัฐมนตรีไม่ลงตัว อาจมีการสลับกันได้ ดังนั้น การใช้กระแสกดดันให้ส.ว.แสดงท่าทีนั้น ไม่มีประโยชน์ ส่วนที่ส.ว.บางคนพูดว่า สภา ต้องรวมเสียงกันให้ได้ 376 เสียงจะได้ไม่พึ่งเสียงส.ว.นั้น ตนมองว่าเป็นเพียงการพูดตามเกณฑ์กึ่งหนึ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งเป็นหลักการทั่วไป
เมื่อถามว่าสังคมตั้งข้อสังเกตว่า ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้ง จะไม่โหวตให้ขั้วฝ่ายค้านเดิม นายสมชาย กล่าวว่า ตนเป็นส.ว.มานาน ทำงานมาหลายรัฐบาล ไม่เคยมีปัญหากับการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าฝ่ายค้านเดิมหรือฝ่ายรัฐบาลเดิม ซึ่งตนมีหลักพิจารณาเลือกนายกฯ ทั้งมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีวิสัยทัศน์นำประเทศไปสู่การพัฒนา มีความรอบรู้ และต้องดูบริบทรอบข้าง คือ การวางตัวรัฐมนตรี และกลุ่มของพรรคการเมือง ส่วนความเห็นของส.ว.แต่ละคนนั้นเป็นอิสระ
“สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ คะแนนนิยมของประชาชนที่สนับสนุนพรรค หากรวมเสียงกันเด็ดขาด ส.ว.ต้องยอม แต่หากรวมกันเสียงก้ำกึ่ง หากแบ่งฝ่ายที่เท่ากัน ส.ว.มีหน้าที่ตามมาตรา 272 ที่บังคับให้ทำหน้าที่ ดังนั้น อย่าบังคับให้เลือกชื่อคนที่คุณเชียร์ ฉันทามติของใครเลือกพรรคไหน เพราะผลเลือกตั้ง ประชาชนลงคะแนนให้ทุกพรรค ดังนั้น ขอให้แฟร์ๆ” นายสมชาย กล่าว