อัปเดตความเคลื่อนไหวของกรณี แอม ไซยาไนด์ จากการเสียชีวิตอย่างปริศนาของน้องก้อย จนทำให้เรื่องของ แอม ไซยาไนด์ ได้ตีแผ่ต่อโลกโซเชียลจนเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการจับกุมสำเร็จในที่สุด
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ แอม ไซยาไนด์ อายุ 35 ปี หรือ พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 39 ปี อดีตสามีและอดีตรอง ผกก.สภ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ทนายพัช อายุ 35 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น, ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ปลอมปนอาหาร ยาหรือเครื่องอุปโภคอื่นใด เพื่อบุคคลอื่นเสพหรือใช้และการปลอมปนนั้นเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย, เพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด, เพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง เป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นทำให้เสียหาย ทำลายซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิดจากกรณีการเสียชีวิตของ น.ส.ศิริพร หรือ ก้อย โดยแอม ถูกดำเนินคดีใน ความผิดร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และข้อหาอื่น ๆ ซึ่งคดีนี้ พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามี และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ทนายพัช ทนายความ ตกเป็นจำเลยที่ 2 และ 3 ในฐานความผิดช่วยเหลือจำเลย แอม สรารัตน์ จำเลยที่ 1 ด้วย ถูกดำเนินคดี ในความผิดฐาน ช่วยเหลือจำเลยที่ 1 มิต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลง และซ่อนเร้นทำลายหลักฐาน
จากกรณีที่จำเลยทั้งสามได้กระทำความผิดต่อกฎหมายต่างกรรมกัน กล่าวคือ เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 2566 เวลากลางวัน นางสรารัตน์ จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าโดย ไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อตระเตรียมการ หรือเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย อายุ 32 ปี ด้วยการวางแผนใช้กำลังประทุษร้ายต่อชีวิต น.ส.ศิริพร โดยนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ (Potassium Cyanide) อันเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตามพ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นสารพิษที่เมื่อบุคคลเสพรับสารดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายแล้ว ร่างกายจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เลือดมีภาวะความเป็นกรดสูง เกิดภาวะขาดพลังงานและออกซิเจน
- “อี้ แทนคุณ” แนะ! “พิธา” ควรพบจิตแพทย์ หลังถูกโห่ไล่ กลางงานจตุรมิตร
- เสี่ยแป้งลอยนวล ตำรวจ จ่อลดกำลังเจ้าหน้าที่ชุดล่า หลังหามาแล้ว 13 วัน
- วันลอยกระทง จุดพลุ – ปล่อยโคมลอย ไม่ขออนุญาติ มีโทษทั้งจำทั้งปรับ
ส่งผลให้สมองและหัวใจขาดพลังงานและออกซิเจน อันเป็นอันตรายต่อร่างกายและชีวิตของผู้เสพรับสารดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย ทำการปลอมปนใส่ลงในอาหาร ยา หรือเครื่องอุปโภคบริโภค ชนิดใดและปริมาณเท่าใดไม่ปรากฏชัดให้ น.ส.ศิริพร ดื่ม หรือรับประทาน หรือเสพรับสารดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีใดไม่ปรากฏชัด แต่เป็นปริมาณที่มากพอที่ทำให้สารโพแทสเซียมไซยาไนด์ดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย น.ส.ศิริพร จนหมดสติและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
โดยวันนี้ พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามี ที่ได้รับการประกันตัวต้องเดินทางมาศาลตามกำหนดนัดด้วย และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ทนายพัช ทนายความ 2 จำเลย ส่วน น.ส.สรารัตน์ หรือ แอม ไซยาไนด์ ถูกเบิกตัวจากทัณฑสถานหญิงกลาง
ทางด้าน น.ส.ธันย์นิชา หรือ ทนายพัช จำเลยที่ 3 เปิดเผยก่อนเข้าตรวจพยานหลักฐานว่า ไม่มีความกังวลที่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี เบื้องต้นได้อ่านสำนวนแล้ว ยืนยันมีหลักฐานแก้ต่างและเชื่อว่าศาลจะพิจารณายกประโยชน์ให้กับจำเลย เนื่องจากไม่มีประจักษ์พยาน และพยานแวดล้อม
ทางด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายโจทก์ร่วม
ทางด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายโจทก์ร่วม เปิดเผยว่า ตนเองในฐานะทนายโจทก์ร่วมวันนี้ศาลมีการนัดประชุมคดีเพื่อ ตรวจพยานหลักฐาน กำหนดวันสืบพยาน โดยวันนี้ตนจะดูว่าจำเลยทั้ง3 จะมีพยานหรือหลักฐาน ให้ตรวจมากน้อยเพียงใดเพราะที่ผ่านมาทาง ฝ่ายอัยการมีการตรวจพยานหลักฐานไปแล้ว 8-10แฟ้มเช่น การสั่งซื้อไซยาไนด์ การวางยาพิษ หลักฐานก่อนเกิดเหตุ วางยาขโมยกระเป๋า กล้องวงจรปิด พยานหลักฐาน ขวด รวมถึงหลักฐาน14 ศพ เชื่อว่าหลักฐานที่มีอยู่ค่อนข้างแน่นหนา ทราบว่าทางด้านจำเลยได้มีการเตรียมพร้อมในการต่อสู้ดำเนินคดีโดยยังไม่มีการรับสารภาพ นอกจากนี้ ทางมารดาของก้อย ได้มีการสอบถามจำเลยว่า กรณีโทรศัพท์มือถือไอโฟนขณะนี้อยู่ที่ไหนเพราะถือเป็นหลักฐานสำคัญในคดี
แม่ผู้เสียชีวิต เรียกค่าเสียหาย
ด้านแม่ ของน.ส.ศิริพร ได้นำหลักฐานที่ระบุว่าเป็นแม่ลูกกับ น.ส.ศิริพร จริงมาชี้แจงกับศาล เพื่อมาหักล้างข้อกล่าวอ้างว่าไม่ได้เป็นแม่ลูกกันจริง มั่นใจว่าศาลจะสามารถเอาผิดกับผู้ที่ทำให้ลูกเสียชีวิตได้ ตอนนี้ทนายความได้ ยื่นคำร้องเรียกค่าเสียหายทางเเพ่งเกี่ยวเนื่องในคดีอาญาเป็น เงินจำนวน27ล้านบาทซึ่งเป็นการคำนวณจากเงินเดือนรายได้และค่าเลี้ยงดูลูกของน.ส.ศิริพร
ทนายเดชา ได้กล่าวภายหลังตรวจพยานหลักฐานคดีแอมไซยาไนด์ โดยศาลได้นัดสืบพยานนัดแรก วันที่ 4 ก.ค. 2567 รวมทั้งหมด 25 นัด รวมพยาน88ปาก โดยวันนี้ทางจำเลยทั้งหมดได้ปฎิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด จำเลยทั้ง 3 วันนี้ไม่มีพยานหลักฐานมาชี้เเจงต่อศาลเพิ่มเติม ส่วนมารดาของก้อยได้พยายามขอโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่ได้รับคืนจากแอม แต่แอมกลับเงียบเฉซึ่งไม่ยอมเจรจาไม่ให้เหตุผล นอกจากนี้ทางทนายพัชรได้มีการกล่าวหาว่าก้อยผู้เสียชีวิตมีการเสพสารเสพติดจนถึงแก่ความตายก็ไม่ควรดำเนินคดีกับแอม
ส่วน น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ กล่าวว่า ตนมาในหลายฐานะเป็นทนายจำเลย ทนายตัวเอง และเป็นจำเลย ได้ยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติม โดยเฉพาะหลักฐานคัดค้านเอกสารวัตถุพยานของอัยการที่ไม่สามารถบรรยายฟ้องเรื่องข้อกล่าวหา ที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนครบองค์ประกอบของความผิดเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้ เรื่องการนำเข้าสารไซยาไนด์ในร่างกายโดยวิธีใด ทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง ตนได้แถลงต่อศาลว่าผู้เสียชีวิตได้มีการเสพยาซึมเศร้าไม่ใช่สารเสพติดตามที่นายเดชากล่าวแต่อย่างใด อ้างมีหลักฐานชัดเจนที่ก้อยเป็นคนกินก่อนที่แอมจะว่าจ้างให้เป็นทนายความ โดยทานยาที่ได้รับจากโรงพยาบาลไทรโยคนานแล้ว รวมทั้งผลชันสูตรศพก็มีสารตัวดังกล่าวอยู่
น.ส.ธันย์นิชา กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่แม่ของก้อยได้เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนเกือบ 30 ล้านบาทก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้แต่ ในเมื่อแอมไม่มีความผิดนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องจ่าย รวมทั้งเรื่องโทรศัพท์ไอโฟนขิงก้อย ขอให้ทางแม่ก้อยไปติดตามเอาเองที่ สภ.บ้านโป่ง