นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. แถลงว่า ศบค.รับรายงานคลัสเตอร์ใหม่ ที่โรงงานเสื้อผ้า อ.แม่สอด จ.ตาก 447 ราย โรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ 13 ราย โรงหมู ต.มาบแค อ.เมือง จ.นครปฐม 38 ราย บริษัทผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ อ.หนองแค จ.สระบุรี 127 ราย ส่วนที่จังหวัดระยอง พบคลัสเตอร์ใหม่ 3 แห่ง แคมป์ก่อสร้าง อ.เมือง 35 ราย บริษัทรับเหมาก่อสร้าง อ.เมือง 13 ราย โรงแยกขยะ อ.ปลวกแดง 15 ราย
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับการออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยมีการออกประกาศช่วงดึกวันเสาร์นั้น เป็นไปตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศบค.ที่หารือร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะที่ปรึกษา ศบค. โดยพยายามออกให้ได้เร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบในการปฏิบัติ โดยก่อนหน้านี้ ได้มีการออกในคืนวันอาทิตย์ แล้วมีผลบังคับใช้วันจันทร์ อย่างไรก็ตาม ศบค.น้อมรับทุกเสียง พวกเราพยายามทำงานอย่างเต็มที่ตามคำสั่ง
“คำสั่งที่ออกมาจะต้องใช้ความรอบคอบของการเขียนกฎหมาย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติอย่างถูกต้อง ก็ต้องขอน้อมรับทุกเสียงที่บอกว่าทำไมเพิ่งออก ทำไมเห็นแรงงานต่างๆออกไปมากแล้ว เจตนาของกฎหมาย คืออยากให้ตั้งอยู่กับที่ แต่เราอยู่ในเมืองไทยก็มีอิสระเสรีพอสมควร แต่ตอนนี้มีการออกข้อกำหนด จึงอยากให้ทุกท่านให้ความร่วมมือ ไม่อยากให้ใครรับโทษ เพราะเจตนาของเราคือเอามาเป็นกติกา เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างดีในสังคม ผมรับทราบว่ากระทบต่อหลายๆคน แต่ตัวเลขที่เกิดขึ้น ต้องช่วยกันลดการระบาด”
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับการเดินทางอาจมีความไม่สะดวกบ้าง เพราะเราไม่อยากปิดล็อกดาวน์ หรือเคอร์ฟิวทั้งประเทศ เพราะทำให้ชีวิตประชาชนยุ่งยาก
เมื่อถามว่าการปิดแคมป์ก่อสร้าง หมายรวมถึงงานต่อเติม หรือรีโนเวทบ้านด้วยหรือไม่ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า คงไม่สามารถแจกแจงได้ว่ากลุ่มใดเป็นกลุ่มใด เพราะแรงงานล้วนมีความเสี่ยง อาจทำงานที่หนึ่งแล้วพักที่หนึ่ง มีการเคลื่อนย้าย คณะกรรมการที่ปรึกษา ศบค.เห็นว่า ถือเป็นกลุ่มเดียวกันทั้งหมดไปมาหาสู่กัน ดังนั้น ทั้งคนไทยและแรงงานต่างชาติต้องขอให้หยุดพักอย่างน้อย 30 วัน