ว่าที่ สส.ก้าวไกล อดีตคน ITV เปิด "เอกสารลับ" แจ้งเลิกจ้างพนักงาน บอกถึงเหตุผลชัด

Home » ว่าที่ สส.ก้าวไกล อดีตคน ITV เปิด "เอกสารลับ" แจ้งเลิกจ้างพนักงาน บอกถึงเหตุผลชัด
ว่าที่ สส.ก้าวไกล อดีตคน ITV เปิด "เอกสารลับ" แจ้งเลิกจ้างพนักงาน บอกถึงเหตุผลชัด

ข้อมูลมาอีก! ว่าที่ สส.ก้าวไกล อดีตคน ITV เปิด “เอกสารลับ” แจ้งเลิกจ้างพนักงาน บอกเหตุผลชัดหยุดดำเนินกิจการเพราะอะไร

วันที่ 11 มิถุนายน 2566 จากกรณี ฐปนีย์ ข่าว 3 มิติ เปิดคลิปที่ประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี นาทีตอบคำถามยังเป็นสื่อหรือไม่ โดยพบว่าจากคำตอบว่า “ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆครับ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อนนะครับ” เมื่อลงในบันทึกการประชุมถูกบิดเบือนกลายเป็น “ปัจจุบันยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัทและมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ”

ล่าสุด นายเอกราช อุดมอำนวย ว่าที่ สส.ก้าวไกล เขตดอนเมือง อดีตพนักงานไอทีวี (ITV) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Ekkarach Udomumnouy – MFP เปิดเอกสารลับเฉพาะ แจ้งการเลิกจ้างพนักงานไอทีวี โดยในเอกสารพบว่ามีข้อความสำคัญว่า

“เนื่องด้วยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (“สปน.”) ได้บอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานและดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ระบบ ยู เอซ เอฟ ระหว่าง สปน. และบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) เป็นเหตุให้บริษัทไม่สามารถประกอบกิจการและดำเนินธุรกิจสถานีโทรทัศน์ไอทีวีต่อไปได้ตามกฎหมาย และทำให้บริษัทต้องยุติการประกอบธุรกิจสถานีโทรทัศน์ ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2550 เป็นต้นไป”

 

โดย นายเอกราช ระบุด้วยว่า ในฐานะอดีตคนไอทีวี ผมสะเทือนใจไอทีวีตกเป็นเหยื่อทางการเมืองอีกครั้ง

ผมทำงานที่แรกก็ที่ไอทีวี เริ่มต้นจากเป็นนักศึกษาฝึกงาน โต๊ะผู้ประกาศข่าว ของสถานีโทรทัศน์ไอทีวี เมื่อปี 2548 จากนั้นได้บรรจุเป็นพนักงานประจำของสถานีในตำแหน่งครีเอทีฟ รายการร้ามชำยามเช้า จากนั้นในปี 2549 ตนเองได้ย้ายมาอยู่ที่ฝ่ายข่าวไอทีวี รับผิดชอบโต๊ะข่าวสังคม รายการข่าวเที่ยงวัยทีน จนกระทั่งสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ถูกยกเลิกสัญญาสัมปทานในวันที่ 7 มีนาคม 2550 ในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ผมต้องตกงานเหมือนกับพนักงานไอทีวีนับพันคน

ก่อนที่ผมจะทำงานด้านสื่ออีกระยะ ไปประกอบธุรกิจส่วนตัว เคลื่อนทางการเมืองในฐานะคนอยากเลือกตั้ง และได้มาทำงานการเมืองกับพรรคก้าวไกล

แต่เมื่อผม ได้รับเลือกเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส.เขตดอนเมือง ของพรรคก้าวไกล และจะทำหน้าที่เพื่อโหวตให้ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ตามที่ประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกผมมาทำหน้าที่นี้และพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 มากถึง 14 ล้านเสียง แต่กลับกลายเป็นว่า ประเด็นหุ้นไอทีวี ของคุณพิธา กลับถูกนำมาใช้ในทางการเมือง

ซึ่งผมไม่ได้ปฏิเสธการตรวจสอบตามสิทธิในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย แต่ในฐานะอดีตคนไอทีวีรู้สึกเจ็บปวดที่ครั้งหนึ่งไอทีวีเคยตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จนกระทั่งต้องปิดตัวลงไป และครั้งนี้ การที่หุ้นไอทีวี ซี่งเคยเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ประชาชนและนักลงทุน สามารถซื้อหุ้นได้อย่างเปิดเผย มีผู้ถือหุ้นนับหมื่นราย และถูกพักการซื้อขาย รวมทั้งยุติการเป็นสถานีโทรทัศน์หรือทำธุรกิจสื่อ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีสมัยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ มีมติให้ยกเลิกสัญญาสัมปทานเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 หรือ กว่า 16 ปีแล้ว ส่วนหุ้นก็หยุดการซื้อขายมายาวนาน จนออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในปี 2557

การดำเนินธุรกิจเป็นเพียงการต่อสู้คดีตามกฎหมายเท่านั้น มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินต้นที่ไอทีวีเคยประกอบกิจการเท่านั้น แต่ขณะนี้กลับมีความพยายามที่จะทำให้ส่งผลในทางที่ไม่เป็นคุณกับนายพิธา

นอกเหนือจากการตรวจสอบตามสิทธิและกฎหมาย มีการแก้ไขเอกสารต่างๆ เพื่อยังทำให้เห็นว่าไอทีวียังทำธุรกิจสื่อ รวมทั้งมีการทำหนังสือไปยังศาลปกครองสูงสุดเพื่อเร่งรัดคดีไอทีวี ให้ตัดสินภายในเดือนนี้ เพื่อให้มีผลบางอย่างทางกฎหมายกับคุณพิธาโดยตรง

ผมรู้สึกสะเทือนใจที่มีความพยายามทำให้ไอทีวีฟื้นคืนชีพเพื่อมีจุดประสงค์เป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกครั้ง เพื่อขัดขวางการทำหน้าที่ผู้แทนราษฏรและนายกรัฐมนตรีของนายพิธา ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน

ผมจึงอยากเรียกร้องในฐานะอดีตคนไอทีวีที่เคยประสบชะตากรรมต้องตกงานและเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2550 ขอให้หน่วยงานต่างๆให้ความเป็นธรรมกับนายพิธา และพิจารณาอย่างรอบคอบตามหลักของกฎหมายที่มีนิติรัฐและนิติธรรม เพราะมิใช่แค่อดีตคนไอทีวีอย่างตนที่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นการใช้กระบวนการกฎหมายมาทำลายความตั้งใจทำงานทางการเมืองของคุณพิธา และทำลายความเชื่อมั่นและศรัทธาที่ประชาชนได้เลือกตั้งให้ความไว้วางใจพรรคก้าวไกลและคุณพิธาอีกด้วย รวมทั้งจะทำให้ในวงการกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันตนก็ทำหน้าที่ในฐานะทนายความและนักกฎหมายคนหนึ่งว่า หลักนิติรัฐและนิติธรรมที่ควรจะเป็น และเป็นกรณีศึกษาอีกครั้งหรือไม่ และเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญที่ห้ามถือครองหุ้นสื่อ แท้ที่จริงเพื่อการป้องกันผลประโยชน์และส่วนได้เสียทางการเมือง หรือ ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่า

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ