การโพสต์ข้อความในคืนวันที่ 14 พฤษภาคม ของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แหลมคม
“ถ้าพรรคเพื่อไทยแพ้ แล้วพรรคก้าวไกลชนะ ผมคงผิดหวัง เพราะยืนอยู่ตรงนี้ แต่ยืนยันความพ่ายแพ้ของเราต้องไม่ยิ่งใหญ่กว่าชัยชนะของประชาชน”
แหลมคมและคมคายด้วย “รส” แห่ง “ความ”
มิได้ติดคราบไคลในแบบ “นักโต้วาที” ตรงกันข้าม ประมวลทั้ง “ความคิด” และวิถีดำเนินไปในทาง “การเมือง” ออกมาอย่างชัดเจน
เนื่องจากใน “ความพ่ายแพ้” ก็อยู่บนฐานแห่ง “ชัยชนะ”
ความน่าสนใจอย่างยิ่งยวดเมื่อปรากฏข้อความจาก นายปิยบุตร แสงกนกกุล
“เราทั้งสองพรรคชนะด้วยกันครับ พี่เต้น ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลด้วยกันดังที่มติมหาชนเสียงสวรรค์ของประชาชนมอบหมายมาครับ”
สะท้อน “สัมพันธ์” อันลึกซึ้งของ 2 นักการเมือง
คนหนึ่ง เคลื่อนไหวในเดือนพฤษภาคม 2553 ดำรงอยู่ในสถานะผู้อำนวยการ “ครอบครัวเพื่อไทย” อยู่เรียงเคียงข้าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
อีกคนหนึ่ง เป็นเลขาธิการ “คณะก้าวหน้า”
ถามว่าอะไรคือสถานะ “ร่วม” ของ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายปิยบุตร แสงกนกกุล
ตอบได้เลยว่า แม้คนหนึ่งจะเป็นเลขาธิการ นปช. ขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นเลขาธิการคณะก้าวหน้า
แต่ “เป้าหมาย” ในทางการเมืองเป็นอย่างเดียวกัน
นั่นก็คือ เจ็บปวดอย่างลึกซึ้งจากรัฐประหารเมื่อปี 2549 และเมื่อปี 2557 ต้องการทำทุกอย่างเพื่อปิดสวิตช์ “3 ป.”
แม้จะทำในฐานะ “ผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง” ก็ตาม
ทั้ง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ทั้ง นายปิยบุตร แสงกนกกุล เปี่ยมด้วยความรับผิดชอบ
โดยพื้นฐานคือ ความรับผิดชอบในฐานะ “ผู้ช่วยหาเสียง” โดยเป้าหมายและความต้องการคือ พร้อมสัประยุทธ์กับอำนาจอันมาจาก “รัฐประหาร”
ตรงนี้ทำให้ชัยชนะอันได้มาเป็นชัยชนะบนเป้าหมาย “ร่วม”