ความเงียบอันมาจาก นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นสภาพที่สามารถเข้าใจได้
เหมือนกับความเงียบที่ดำรงอยู่โดยรอบ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เหมือนกับความเงียบที่ดำรงอยู่โดยรอบ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
เพียงแต่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น 1 ใน 3 ป.
เพียงแต่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีฐานะเทียบกับหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
กระนั้น สถานะของ นายสุชาติ ชมกลิ่น ก็ไม่ธรรมดา
หากมองจากมุมของ นายสุชาติ ชมกลิ่น ย่อมเป็นมุมของ “แม่ทัพ” อันเกรียงไกร
อาจเคยเป็นแม่ทัพในสังกัดภายใต้ร่มธงอันมากด้วยอิทธิพลของ “บ้านใหญ่” ของบุคคลระดับ “เจ้าพ่อ” แห่งภาคตะวันออก
และ ณ ปัจจุบัน บารมีของ “เสี่ยเฮ้ง” ก็แผ่ไพศาล
ไม่เพียงแต่ทะยานเข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน หากแต่ยังทะยานเข้าไปอยู่ในตำแหน่ง “ผู้อำนวยการ” พรรคพลังประชารัฐ
และเพิ่งสร้างผลงานจากปฏิบัติการ “โรดโชว์”
ต้องยอมรับว่ายุทธการโหวตเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมเป็น “ลับ ลวง พราง”
ความเข้าใจของ นายสุชาติ ชมกลิ่น พุ่งความระมัดระวังไปยังการเคลื่อนไหวในด้านของพรรคเศรษฐกิจไทย และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นหลัก
มองข้ามบทบาทจาก “ภายใน” พรรคพลังประชารัฐ
เมื่อประสบกับลักษณะการโหวตสวนอย่างชนิดไม่ยั้งจาก กลุ่มส.ส.สมุทรปราการในเครือข่ายของบ้านใหญ่แห่ง “ตระกูลอัศวเหม”
จึงย่อมตกอยู่ในลักษณะ “นะจังงัง” เป็นอย่างสูง
ในความเงียบของบ้านใหญ่ “เมืองชล” กลับเกิดเสียงเปรี้ยงปร้างจาก “ปากน้ำ”
ความยากลำบาก คือ การเสาะหาโยงใยระหว่างบ้านใหญ่ “ปากน้ำ” กับบ้านใหญ่ “เมืองชล” อันเท่ากับเป็นสัญญาณยาวไปยัง “เลือกตั้ง” ครั้งหน้า
ความเงียบจาก นายสุชาติ ชมกลิ่น จึงมีความจำเป็น