มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดต้อง“สกัด”การลาออกของกรรมการบริหารพรรค“สตรี”
หากดูจากท่าทีของ น.ส.อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ ประสานเข้ากับท่าทีของ นางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ ก็จะทะลุไปยัง“ปม”อันเป็นประเด็นของปัญหา
รวมถึง “อาการ” ของ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก
ขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่าแต่ละท่าทีของกรรมการบริหารสตรีชุดนี้แทบไม่เกี่ยวอะไรกับการตัดสินใจยื่นใบลาออกของ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข
แต่แต่ละ “ปฏิกิริยา” นี่แหละคือ “ระเบิดเวลา” ทางการเมือง
ถามว่าเหตุปัจจัยอันทำให้เหล่ากรรมการบริหาร“สตรี”คิดจะลาออก
คำตอบ 1 ที่ถือว่าเป็นเหตุปัจจัยสูงสุดย่อมมาจากกรณีอื้อฉาวอันเนื่องแต่พฤติกรรมของ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ซึ่งเคยเป็นรองหัวหน้าพรรค
คำตอบ 1 เนื่องจากการตัดสินใจที่ล่าช้าของพรรค
คำตอบ 1 เนื่องจากภายในความล่าช้าของพรรคนั้นเองทำให้ความจริงที่เคยร่ำลือกันอย่างไม่เป็นทางการปรากฏร่องรอยออกมาอย่างเด่นชัด
นั่นคือ การเป็นรองหัวหน้าพรรคของนายปริญญ์ พานิชภักดิ์
ลําพังการตัดสินใจที่ล่าช้าของพรรคก็ท้าทายต่อสำนึกแห่ง“ศีลธรรม”ของพรรคยิ่งแล้ว
แต่เมื่อ นายเทพไท เสนพงศ์ ได้บรรยายความตามไท้ว่า นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ได้เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคโดย“ขัด”ข้อบังคับพรรคเกือบทุกข้อ
จากการผลักดันของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เต็มพิกัด
ไม่เพียงแต่จะเข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรค หากแต่ยังรุนให้เข้าดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคอย่างที่เรียกว่า“ทีม อเวนเจอร์”
ผลก็คือ นายกรณ์ จาติกวณิช จำใจยื่นใบลาออกจากพรรค
เด่นชัดอย่างยิ่งว่ามาตรการของพรรคเป็นมาตรการจำเพาะกรณีของ “ปริญญ์”
นั่นก็คือ โดยการลาออกจากตำแหน่งอันเกี่ยวกับสตรีและสิทธิมนุษยชน แต่มิได้แตะเข้าไปในช่องว่างรอยโหว่ในการเข้ามาของ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์
นี่คือปัญหาที่เหมือนไฟสุมขอนและกำลังกลายเป็นระเบิดทางการเมือง