จากวันที่ 19 มายังวันที่ 22 กรกฎาคม บรรยากาศการอภิปรายเข้มข้นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะบรรยากาศการอภิปรายทั่วไปในวันที่ 22 กรกฎาคม ที่เรียกว่าเป็นการจัดหนัก พุ่งปลายหอกเข้าใส่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ว่า “พี่อิ่ม” ไม่ว่า “พี่น้ำ” เฉียบขาด มั่นคง
ยิ่งเมื่อติดตามฟัง “จงรักภักดีจนน้ำตาชายไหล” จาก พี่เจี๊ยบ อมรัตน์ ยิ่งร้อนแรงจนแทบทำให้บนบัลลังก์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งอยู่ไฟแทบลุก
หลายคนเฝ้ารอการโต้ตอบจาก “ลุงตู่”
พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลุกขึ้นยืนก็สัมผัสได้ใน “รังสีอำมหิต”
โดยเฉพาะในห้วงที่ไม่ได้ยก “โพย” ที่มีการจัดเตรียม ปรากฏว่าแต่ละคำที่หลุดออกมามีความร้อนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าของ พี่เจี๊ยบ อมรัตน์
ไม่ว่าจะเป็นการอุปมาระหว่าง “ตู่” กับอุปไมยของ “เตี้ย”
เท่านั้นยังไม่สะสาแก่ใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังงัดเอาโวหารอย่างที่เรียกว่า “วิชาก้นหีบ” ออกมาตามความสันทัด
ประเคนคำว่า “ก้าวล่วง” เข้าใส่อย่างเต็มปาก
ถามว่าเมื่อเผชิญกับพลังตอบโต้จาก “ลุงตู่” เช่นนี้ พี่เจี๊ยบ อมรัตน์ เป็นอย่างไร
นักการเมืองจากนครปฐมลุกขึ้นประท้วงอย่างฉับพลันทันใด ใช้คำไม่กี่คำ แต่คำที่ออกจากปากของ พี่เจี๊ยบ อมรัตน์ นั้นบ่งบอกตัวตนออกมาได้อย่างชัดเจน
ชัดเจนใน “คำถาม” ชัดเจนในการขอ “คำตอบ”
น่าเสียดายที่ไม่มีคำตอบ น่าเสียดายที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ยอมสร้างความกระจ่างต่อ “ข้อกล่าวหา” ว่าเป็นอย่างไร
กลับเลี่ยงไปด้วยความจัดเจนอย่าง “แมน แมน”
เกิดการเปรียบเทียบต่อ “ภาพ” ที่เห็นอย่างเด่นชัดจากที่ประชุมสภาตามมาแน่นอน
เป็นการเปรียบเทียบและตั้งคำถามว่าระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ใครชัดเจนและกระจ่างมากกว่ากัน
คำถามนี้ก้าวพ้น “เพศสภาพ” ไปโดยสิ้นเชิง