มีความพยายามจะมอง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แยกจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
จึงเห็นว่าการพักการปฏิบัติงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเท่ากับตัดออกไปจากวงจรแห่ง “อำนาจ”
แล้วเปิดทางสะดวกให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ล้วนเป็น “พี่น้อง 3 ป.” มีรากฐานจาก “บูรพาพยัคฆ์” ร่วมกัน
ร่วมกันยาวนานตั้งแต่ยังเป็น “ทหารเด็ก”
ถามว่าจะประเมินกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อย่างไร
คำตอบเบื้องต้นก็คือ มีความขัดแย้ง ไม่ลงรอยดำรงอยู่จริง และก็เห็นได้แล้วจากสถานการณ์เมื่อเดือนกันยายน 2564 และความต่อเนื่อง
ออกจากพรรคพลังประชารัฐมาอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย
ที่สมควรให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษก็คือ บทบาทของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในความขัดแย้งนี้ดำเนินไปอย่างไร
ตอบได้เลยว่า พยายาม “ประนีประนอม”
หากไม่ประนีประนอมคงไม่พยายามดึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จนสุดเหวี่ยง
ดึงให้อยู่ในตำแหน่ง “เลขาธิการ” พรรคพลังประชารัฐ และเมื่อไม่อาจดึงเอาไว้ได้แล้วก็ดำเนินมาตรการ “ขับ” เพื่อสร้าง “เงื่อนไข”
เป็นเงื่อนไขให้ไปจัดตั้ง “พรรคเศรษฐกิจไทย” ขึ้น
เท่านั้นยังไม่เพียงพอ ยังมอบหมายให้ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ไปเป็นตัวช่วยอย่างเต็มกำลังความสามารถ
บทบาทนี้ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีความเด่นชัด
การดำรงอยู่ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงเป็นการดำรงอยู่เพื่อสร้างความมั่นใจ
ไม่เพียงมั่นใจในการสืบทอด “อำนาจ” ในลักษณะ “ไปต่อ” หากแต่เตรียมความพร้อมอย่างสมดุลหากจำเป็นต้องลงจากหลังเสือแห่ง “อำนาจ”
ตรงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะเข้าใจ