การศึกษาฉบับหนึ่งเผยแพร่บนวารสารแลนเซตเมื่อวันจันทร์ (4 ต.ค.) ระบุว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ไฟเซอร์และไบออนเทคพัฒนาร่วมกัน มีประสิทธิภาพลดลงมาอยู่ที่ 47% เมื่อฉีดครบ 2 เข็มนาน 6 เดือน ร่วงลงจากระดับสูงสุดที่ 88%
อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลยังสูงถึง 90% หากได้รับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แบบกลายพันธุ์ชนิดต่างๆ รวมถึงชนิดเดลตา
การศึกษาชิ้นนี้ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากบริษัท ไฟเซอร์ อิงค์
ไม่ใช่แค่นั้น การศึกษานี้ยังยืนยันรายงานชิ้นแรกๆ ที่ออกมาจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของสหรัฐ และหน่วยงานด้านสาธารณสุขของอิสราเอล ว่าเมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน ประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จะลดลง แม้ว่ายังคงป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อเจ็บป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลก็ตาม
การศึกษานี้ยังออกมาไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐหลายหน่วยงานอนุมัติให้ใช้วัคซีนของไฟเซอร์และไบออนเทคมาฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันแก่กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ใหญ่ที่มีความเสี่ยงว่าจะติดเชื้อสูง โดยมีข้อแม้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องได้รับวัคซีนของไฟเซอร์มาก่อนอยู่แล้ว ไม่มีการฉีดไขว้
ด้านคณะกรรมการที่ปรึกษาชุดสำคัญชุดหนึ่งของสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (เอฟดีเอ) จะประชุมกันนาน 2 วันในสัปดาห์หน้า เพื่อหารือว่าควรจะให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนของโมเดอร์นาและจอห์นสันแอนด์จอห์นสันฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันด้วยหรือไม่