หากพูดถึง “โรงเรียน” หลายคนคงคิดถึงสถานที่สำหรับศึกษาวิชาการต่าง ๆ แต่สำหรับในชุมชนบ้านหนองเต่า ต.แม่วิน อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ โรงเรียนไม่ใช่เพียงเพื่อศึกษาวิชาการ แต่ยังสอนให้เด็ก ๆ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมผ่านการเก็บขัดแยกขยะ
นอกจากนี้พื้นที่ของโรงเรียนยังดูเหมือนฟาร์มเกษตร ตรงทางเข้าเรามองเห็นโรงเก็บขยะ ถัดไปเป็นแปลงผักสวนครัว ซุ้มกาแฟ บ้านดิน ถัดไปเป็นทางเดินและห้องน้ำที่ทำด้วยขวดแก้วรีไซเคิลสีสันแปลกตา อีกมุมหนึ่ง เป็นเพิงฟากไม้ไผ่แบบง่ายๆ โล่งๆ ภายในเรามองเห็น กระดาน โน้ตเพลงภาษาปกาเกอะญอ และเครื่องดนตรี ‘เตหน่า’ ของชนเผ่าปกาเกอะญอ วางเรียงกันไปมา ทุกคนเรียกที่นี่ว่า “โรงเรียนขยะลอแอะ”
วันนี้จึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จัก “โรงเรียนขยะลอแอะ” โรงเรียนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากขยะริมทาง ผ่านมุมมองของผู้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้อย่าง “ครูเก่อเส่ทู ดินุ”
จุดเริ่มต้นของ ‘คนเก็บขยะ’ บนดอยสูง
โรงเรียนขยะลอแอะ เกิดจากแนวคิดของ “ครูเก่อเส่ทู ดินุ” คนรุ่นใหม่ชาวปกาเกอะญอ ที่ชักชวนเด็กๆ ในชุมชนบ้านหนองเต่า ไปช่วยกันเก็บขยะที่ถูกทิ้งตามสองข้างทางบนดอย โดยทำมานานหลายปีแล้ว เขาบอกว่าที่เลือกเส้นทางชีวิตมาเป็นคนเก็บขยะเพราะเขาขับรถผ่านเส้นทางแม่วินถึงบ้านหนองเต่านี้ทุกวัน สิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือ มีแต่ขยะถูกทิ้งเต็มสองข้างทาง จึงเริ่มตั้งคำถามว่า ทำไมชาวบ้าน นักท่องเที่ยว คนผ่านไปผ่านมาถึงชอบทิ้งขยะกันอย่างนี้
ประกอบกับก่อนหน้านั้น เขาเคยทำกิจกรรมร่วมกับ คุณพ่อนิพจน์ เทียนวิหาร สังฆมณฑล เชียงใหม่ ที่มอบความรัก ความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า และเป็นแรงใจให้กับเขา เมื่อเขาได้สนทนากับคุณพ่อนิพจน์จึงจุดประกายให้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้น
“คุณพ่อนิพจน์ ท่านบอกว่า ถ้าจะทำกิจกรรมอะไร ให้เริ่มที่ตัวเราก่อน ทำให้ผมหันกลับมามองตัวเอง กลับมาทบทวนตัวเอง ว่าสิ่งไหนคือปัญหาที่เราพบเผชิญอยู่ในชุมชน ก็มีเรื่องขยะนี่แหละที่ผมมองเห็น เพราะที่ผ่านมา มีแต่คนบ่นว่า ทำไมบนดอยสกปรก มีแต่ขยะ คนดอยสกปรก ชอบทำลาย สร้างแต่ปัญหามลพิษ ซึ่งทำให้ผมรู้ว่าเมื่อก่อนบนดอยของเราไม่ได้มีปัญหาแบบนี้ พอมาถึงยุคนี้ มีความสะดวกสบายมากขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือขยะ ความมักง่าย และความไม่ละอายใจ ก็เลยทำให้ผมตัดสินใจกลับมาบ้านเกิด เพื่อมาเป็นคนเก็บขยะ” เก่อเส่ทู เล่า
‘คนเก็บขยะ’ การต่อสู้กับตัวเอง ครอบครัว และคำค่อนแคะจากชุมชน
แน่นอนว่า หลังจากที่เขาตัดสินใจที่จะเก็บขยะตามสองข้างทางของถนนที่ตัดผ่านป่า ความรู้สึกด้านลบก็เข้ามากระทบความรู้สึกภายในจิตใจของเขาอย่างหนัก
“จะทำได้หรือ…ไม่อายหรือ ทำไปทำไม…ไม่ใช่หน้าที่ของนายซักหน่อย…” เก่อเส่ทู เล่า
แต่ในที่สุด เขารวบรวมความกล้า ใช้ความคิดความรู้สึกด้านบวก และลงมือทำ โดยเริ่มต้นเก็บขยะตามสองข้างทางทุกวัน และยังต้องต่อสู้กับความคิดของครอบครัว โดยเฉพาะพ่อกับแม่
“พ่อจะหน้าบึ้งทุกครั้ง เมื่อเห็นว่าผมจะออกไปเก็บขยะ พ่อมักจะบ่นว่า บอกให้ไปทำงาน หาเงินเหมือนคนอื่นๆ เขา ไม่ใช่มาเดินเก็บขยะแบบนี้”
เช่นเดียวกับที่ต้องเผชิญคำถามจากคนทั้งในหมู่บ้านและนอกหมู่บ้าน หลายคนมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ บ้างก็บอกว่าทำงานเอาหน้า หรือไม่ก็อยากดัง
“ทำไมออกไปเรียนหนังสือจนจบปริญญา แล้วมาเก็บขยะแบบนี้ทำไม”
“อยากสร้างภาพใช่มั้ย”
เขาเจ็บปวดทุกครั้ง ที่ได้ยินเสียงค่อนแคะ ประชดประชัน กล่าวหาว่าเก็บขยะเพื่อสร้างภาพ อยากได้หน้า อยากเด่นอยากดัง จนบางครั้งทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เจ็บปวดกับคำพูดของชาวบ้าน แต่เมื่อนึกถึงคำสอนของคุณพ่อนิพจน์ เขายังคงก้มหน้าก้มตาเก็บขยะต่อไป…
ขยะส่วนใหญ่ที่ทิ้งตามสองข้างทางนั้นมาจากคนในชุมชน คนนอกชุมชน และนักท่องเที่ยว ที่เดินทางผ่านไปมาแล้วนำขยะมาทิ้ง เป็นแบบนี้มานาน 10-20 ปีแล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้น ยังไม่เห็นมีหน่วยงานไหนสนใจที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
“ถ้าเราไม่ลงมือทำด้วยตนเองก่อน แล้วใครจะมาช่วยเรา ถ้าเราไม่เริ่มต้นลงมือทำวันนี้ แล้วเราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาเรื่องขยะ เรื่องสิ่งแวดล้อมกันได้ยังไง” เก่อเส่ทู พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่จริงจัง
รักขยะเหมือนของที่ซื้อมาใหม่ สอนเด็กซึมซับการรักสิ่งแวดล้อม
“เราล้วนคือขยะ” เก่อเส่ทู เอ่ยกับเด็กๆ
“ใช่ๆ ผมก็คือขยะเหมือนกัน” เด็กๆ บอก
ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ที่โรงเรียนขยะลอแอะจะเปิดให้เด็กๆ ในชุมชนบ้านหนองเต่าและหมู่บ้านใกล้เคียง เข้ามาทำกิจกรรมกันตั้งแต่เช้าถึงเย็น
ตอนสายเมื่อเด็กๆ สิบกว่าชีวิตมารวมตัวกัน เก่อเส่ทู จะพากลุ่มเด็กขึ้นรถยนต์สีขาวคันเก่า ภายในมีถุงกระสอบเตรียมใส่เศษขยะ จากนั้นก็พากันลัดเลาะไปตามถนนในหมู่บ้าน ออกสู่ถนนสายหลัก เส้นทางสายนี้ผู้คนบนดอยจะใช้เดินทางกันเป็นประจำ อีกทั้งยังสามารถลัดไปสู่ดอยอินทนนท์ได้ จึงทำให้กลายเป็นเส้นทางที่นักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรไปมามากขึ้น และแน่นอน ขยะจึงมีอยู่กระจัดกระจายไปตามริมถนน กองอยู่ตามผืนป่าสองข้างทาง
พอไปถึง เขาจะแจกถุงมือยาง และกระสอบคนละใบ ก่อนจะให้เด็กๆ ทำสมาธิ ภาวนากันก่อน
“ผมจะให้เด็กๆ ทำสมาธิ หน้ากองขยะกันก่อนทุกครั้ง แล้วบอกเด็กๆ ว่า ที่ไหนมีขยะ ที่นั่นก็จะมีพระผู้เป็นเจ้า มีรุกขเทวดา มีเจ้าป่าเจ้าเขาอาศัยอยู่ แต่ว่าพระผู้เป็นเจ้า รุกขเทวดา เจ้าป่าเจ้าเขาที่อยู่ตรงนี้ ต่างก็รู้สึกไม่สบายใจ ต่างทอดถอนใจ เสียใจ แล้วบ่นให้เราฟังว่า โอ้ พวกมนุษย์นี้ทำไมช่างใจร้าย มักง่าย ทิ้งขยะ ทำลายสิ่งแวดล้อม สกปรกแบบนี้”
“จริงๆ แล้วขยะทั้งหลายเกิดจากมนุษย์เราเองนี่แหละ เราควรรักที่จะดูแลขยะพวกนี้ต่อ เหมือนกับตอนที่เราซื้อ เราใช้ เรากินมันก่อนหน้านี้ เราชื่นชอบมันมากใช่มั้ย แต่ถ้าเราทำกันแบบนี้ ดูแลมัน ก็จะไม่มีคำว่า ขยะ อยู่ในผืนดินแห่งนี้ ผืนป่าแห่งนี้ ก็จะมีแต่ ลอแอะ หรือความน่ารักเท่านั้น” เก่อเส่ทู บอกให้เด็กๆ ฟัง ก่อนพากันเดินเก็บขยะที่ซุกซ่อนกระจัดกระจายอยู่ตามสองข้างทางของถนนที่ผ่านป่า
เราเฝ้ามองเห็นเด็กๆ ช่วยกันเก็บขยะใส่กระสอบและขนมาใส่รถ บ้างก็หยอกล้อเล่นกันไปมาอย่างมีความสุข
ทุกครั้ง ก่อนจะเก็บขยะ เก่อเส่ทู จะถ่ายรูปกองขยะที่อยู่มุมนี้มุมโน้นเอาไว้ พอเก็บขยะเสร็จ เขาก็จะถ่ายรูปเปรียบเทียบให้เด็กๆ ดูผลงานของตนเอง ว่ามันสะอาดขึ้น ไม่สกปรก ถนนสายนี้สะอาด ป่าผืนนี้งดงาม นั่นทำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ ซึมซับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปโดยไม่รู้ตัว
“เห็นมั้ยๆ ตอนนี้ พระผู้เป็นเจ้า เจ้าป่าเจ้าเขา รุกขเทวดาที่ดูแลป่าดูแลต้นไม้ตรงนี้คงยิ้มให้กับเราแล้วว่า พวกเราเก่งจัง เราทำได้ เราทำให้ถนนสะอาด ผืนดินสะอาดขึ้น ป่าไม้ไม่ต้องถูกรบกวนจากขยะ” เก่อเส่ทูกล่าว
‘ขยะลอแอะ’ วงดนตรี ‘เด็กหลังห้อง’ ที่ถูกบ่มเพาะด้วยความรัก
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เก่อเส่ทู ต้องใช้เวลาบ่มเพาะเด็กๆ ด้วยความรัก ความเข้าใจ และต้องใช้พลังข้างในอย่างมาก เพื่อที่จะปลูกจิตสำนึกแห่งความดีงาม จิตสำนึกแห่งการเสียสละให้กับเด็กๆ แบบนี้ได้
“ใช่ครับ เริ่มแรกมันยากมาก เพราะตัวเด็กกลุ่มนี้ เป็นเด็กหลังห้อง เรียนไม่ค่อยเก่ง คุณครูบอกไม่เอาไหน มีแต่คนแก่นๆ ทั้งนั้น แต่พอมาอยู่ผม ผมให้ความรักแก่พวกเขา ให้อิสระแก่เขา เขามีความสุข ที่ได้ลงมือทำ ได้เรียนรู้ มีความสามัคคี และกลายเป็นเพื่อนสนิทที่รักกันมาก
“ในขณะตัวพ่อแม่ของเด็กหลายคน ก็มีพ่อแม่หลายคนบ่น คัดค้าน ไม่อยาก ไม่ยอมให้เด็กไปเก็บขยะ บ้างก็บอกผมว่า พาเด็กไปเก็บขยะทำไม ตากแดดตากฝน อะไรแบบนี้” เก่อเส่ทู เล่า
เขาเลือกและตัดสินใจที่จะใช้ศิลปวัฒนธรรม โดยเลือก ‘ดนตรีชนเผ่า’ มาเป็นตัวเชื่อมประสานและดึงเด็กๆ เข้ามารวมกลุ่มกันที่นี่ ซึ่งมันเป็นความฝันของเขาด้วยเช่นกันที่อยากเห็นเด็กๆ ปกาเกอะญอกลับมาเล่น ‘เตหน่า’ เครื่องดนตรีประจำชาติพันธุ์ของตัวเอง
“เสียงดนตรีนี้แหละที่ทำให้เด็กๆ ได้ยิน และพากันเข้ามาอยู่ตรงนี้ เด็กได้สัมผัส และเด็กมีความสุข และพ่อแม่ก็มีความสุข” เก่อเส่ทู เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“เตหน่า ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องดนตรี แต่มันคือทั้งหมดของชีวิต มันคือเพื่อน มันคือทุกสิ่งทุกอย่าง วันไหนที่เราไม่สบายใจ พอหยิบเตหน่ามาเล่น มันทำให้เรารู้สึกสบายใจเพราะดนตรีและบทเพลงนั้นแฝงไปด้วยบทธา คำสอนดีๆ ของบรรพบุรุษได้สอนเอาไว้ ซึ่งมีมานานหลายร้อยปีมาแล้ว แต่เครื่องดนตรีเหล่านี้ เริ่มจะสูญหายไปไม่กี่ปีมานี้ ผู้เฒ่าผู้แก่ไม่ได้สอนให้ลูกหลาน ลูกหลานก็ไม่ค่อยใส่ใจ แต่พอดี ผมชอบดนตรีเหล่านี้ จึงพยายามเรียนรู้ และสืบสานเอาไว้…” เก่อเส่ทู กล่าว
จากจุดเริ่มต้นจากเตหน่า จนพัฒนามาเป็นวงดนตรี “ขยะลอแอะ” หรือ “วงขยะผู้น่ารัก” ที่หลายคนได้ยินได้ยลแล้วเกิดความรู้สึกประทับใจในความบริสุทธิ์ ใสซื่อของเด็กๆ
เก่อเส่ทู และน้องๆ วงดนตรี “ขยะลอแอะ” ได้ใช้ดนตรีและบทเพลงเป็นตัวกลางในการสื่อสารเชื่อมโยงให้คนมารวมกัน ทั้งยังได้ขยายไปสู่ชุมชนและเครือข่ายอื่นๆ จนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วในขณะนี้
ทุกครั้งที่พาเด็กๆ ไปเล่นดนตรี เก่อเส่ทู จะพยายามสอดแทรกเรื่องราวของวิถีวัฒนธรรมชนเผ่า การอนุรักษ์ดิน น้ำ ป่า อากาศ รวมทั้งเรื่องขยะให้ผู้ชมผู้ฟัง พอแสดงดนตรีเสร็จ เขาก็จะพาเด็กๆ ช่วยกันเก็บขยะภายในงานกลับไปด้วยทุกครั้งไป
“ดนตรี ทำให้เราสร้างมิตรภาพดีๆ ให้กัน ทำให้เราได้มาเจอกันเหมือนวันนี้…ดนตรีทำให้ศัตรูกลายเป็นมิตร เพราะปกาเกอะญอนั้นไม่ชอบสร้างศัตรู แต่ชอบสร้างมิตรมากกว่า”
ที่สำคัญ ดนตรี ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กๆ เข้าใจ แนวคิดของเก่อเส่ทู ที่อยากปลูกฝังให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทั้งในเรื่องสิ่งแวดล้อม ดนตรี วิถีวัฒนธรรม แถมยังช่วยสร้างรายได้ให้แก่เด็ก โดยการพาเด็กๆ ไปร้องเพลง เล่นดนตรีให้นักท่องเที่ยวชม ส่วนใหญ่มักจะได้รับทิปครั้งละ 500-1,000 บาท ซึ่งเด็กๆ ทุกคนจะนำเงินที่ได้มาหารเฉลี่ยแบ่งกัน
บางครั้ง พ่อแม่ของเด็กๆ แอบไปดูวงดนตรีขยะลอแอะ แสดงให้นักท่องเที่ยวชม แล้วรู้สึกภูมิใจที่เห็นลูกหลานของตัวเองสามารถทำได้ และมีคุณค่าต่อสังคม
‘ขยะ’ สร้างแรงบันดาลใจ
เก่อเส่ทู บอกว่า กองขยะที่ถูกทิ้ง บางครั้งทำให้เขามองเห็นตัวเอง มองเห็นชุมชน มองเห็นสังคม ได้เด่นชัดมากขึ้น
“รู้มั้ย…ถ้าวันไหน ที่ผมคิดอะไรไม่ออก ผมมักจะไปยืนดูกองขยะ แล้วมันทำให้ผมเห็นปัญหา เห็นปัญญา และค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ จากกองขยะ” เก่อเส่ทู บอก
เขาหยิบขวดเบียร์ยี่ห้อหนึ่งขึ้นมาจากกองขยะให้เราดูเป็นตัวอย่าง…
“อย่างเช่นขวดเบียร์ขวดนี้ ผมคิดว่าส่วนหนึ่งของปัญหาของขยะจริงๆ แล้วมันอยู่ที่ต้นตอของปัญหา คือ เจ้าของนายทุนที่ผลิตเบียร์ ซึ่งผมว่าพวกเขาน่าจะเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเรื่องขยะกันตรงนี้ด้วยซ้ำ พวกเขาควรจะมองตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่าทำยังไงให้สินค้าของตัวเองเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่กลายเป็นขยะ หรือว่าทำยังไง ให้คนกิน คนบริโภคแล้ว ไม่ทิ้งกลายเป็นขยะแบบนี้ ผมว่าถ้าผู้ประกอบการ ก่อนที่จะลงมือผลิต เขาน่าจะคิดและป้องกันเรื่องตรงนี้ก่อนได้นะ ซึ่งจะโทษเรื่องคนทิ้งอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะต้นเหตุมันคือที่ผู้ผลิตโน่น มันคือซุปเปอร์ขยะ” เก่อเส่ทู บอก
แน่ละ เขาพยายามทำความเข้าใจกับปัญหาเหล่านี้ ซึ่งมันถูกหมักหมมมานานหลายสิบปีมาแล้ว
“ผมไม่มีสิทธิจะไปห้ามคนไม่ให้ทิ้งขยะ และไม่มีสิทธิที่จะไปห้ามกลุ่มทุนไม่ให้ผลิตสินค้าขยะ แต่เราทุกคนมีสิทธิที่จะเริ่มต้นจัดการตัวเราเองก่อน จัดการชุมชนของเราให้ดีได้นะ” เก่อเส่ทู บอก
เปลี่ยน ‘ขยะ’ เป็นของมีค่า ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม สร้างรายได้ให้ชุมชน
สิ่งที่ เก่อเส่ทู ทำได้ตอนนี้ คือ เก็บขยะเหล่านี้มาคัดแยก และทำการรีไซเคิลในรูปแบบต่างๆ โดยได้รับการชี้แนะจาก ผู้กองยอดรัก หรือ สถาพร สกลทัศน์ อดีตนายทหารจากกองทัพเรือที่ผันตัวหลังเกษียณอายุมาร่วมในกระบวนการสร้างเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่อำเภอแม่วาง ด้วยการปลูกฝังและกระตุ้นให้คนในชุมชนเกิดการเรียนรู้ การอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพึ่งพาตนเองของคนในชุมชนมากกว่าการรอรับจากภายนอก
ผู้กองได้ชักชวนลูกสาวและเพื่อนๆ ซึ่งกำลังเรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาสิ่งแวดล้อม จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มาช่วยกันจัดการขยะรีไซเคิลเหล่านี้ ร่วมกับเก่อเส่ทู และเด็กๆ โดยนำขวดพลาสติก ขวดแก้ว มาคัดแยก และทดลองทำการแปรรูป
หนึ่งนั้นคือ การทำอิฐขยะ หรือ “อิฐขยะสัมมาชีพ” เป็นจุดเปลี่ยนของการคิดค้นวิธีการลดปัญหาขยะ แต่นำมาซึ่งการคืนประโยชน์กลับสังคม
อิฐขยะ จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่ง ด้วยการนำส่วนประกอบจากขยะที่มีมากที่สุด นั่นคือ ถุงพลาสติก โดยผ่านกระบวนการนำพลาสติกมาทำเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณ 3 กระสอบ ผสมกับทราย 2-3 แก้ว แล้วนำไปเผาก็จะได้อิฐขยะมา 1 ก้อน จากนั้นสามารถนำไปก่อเป็นฝาผนังบ้านได้ นอกจากนั้น ก็มีการนำวงล้อรถยนต์มาทำเป็นแปลงปลูกพืชผักสวนครัว นำขวดหลากสีมาทำห้องน้ำและทางเดินที่มีลวดลายสีสันงดงาม
ในขณะ เก่อเส่ทู เขาได้นำเศษสังกะสีเก่าๆ เศษไม้ สายเบรกรถถีบมาทำเป็นเตหน่า เครื่องดนตรีปกาเกอะญอ ไว้สอนเด็กๆ และวางจำหน่ายให้กับผู้ที่สนใจอีกทางหนึ่งด้วย
“ตอนนี้ เราก็กำลังคิดๆ กันว่า จะรีไซเคิล จะทำอะไรให้ได้มากกว่านี้อีก” เก่อเส่ทู บอก
‘กาแฟดริป’ ช่องทางใหม่สร้างรายได้เสริมของโรงเรียนขยะลอแอะ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือ การที่ผู้กองสถาพร ได้มีส่วนในการต่อยอดพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้กับโรงเรียนขยะลอแอะ โดยเริ่มต้นการพัฒนา ‘กาแฟ’ ในพื้นที่ให้ผู้คนที่สนใจได้มาลิ้มลองรสชาติ จนกลายเป็นที่มาของคำว่า “มาลากาแฟ” พร้อมสโลแกน “ดูแลชุมชน พืช สัตว์ ขยะและสิ่งของ”
ปัจจุบัน ผู้กองจะนำรถถีบมาขายกาแฟดริปกันสดๆ เฉพาะช่วงเช้าบริเวณตลาดบ้านกาด ตั้งแต่ 07.00 – 11.00 น. และล่าสุด มาลากาแฟได้เปิดสาขาใหม่ที่โรงเรียนขยะลอแอะ บ้านหนองเต่า โดยฝีมือการคั่วกาแฟ บดกาแฟ ชงกาแฟ ของเด็กๆ โรงเรียนขยะลอแอะเอง และบางครั้ง เก่อเส่ทู ก็จะพาน้องๆ ไปเก็บขยะ และยืนดริปกาแฟให้กับผู้คนที่สัญจรไปริมถนนได้จิบชิมลิ้มลอง ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากนักเดินทางเป็นอย่างดี
“ตอนนี้ ผมกำลังเก็บรวบรวมเมล็ดกาแฟของชาวบ้าน ของญาติพี่น้องที่ปลูกกาแฟเอาไว้ แต่ไม่ได้สนใจ ผมเริ่มศึกษาเรื่องกาแฟมากขึ้น เริ่มทดลองตาก คั่ว บด และมาดริปให้แก่ลูกค้าและผู้มาเยือน ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นช่วยหนุนเสริมให้กับกิจกรรมของเราต่อไปได้ในอนาคต” เก่อเส่ทู บอก
แบ่งปัน ขยายองค์ความรู้ไปยังชุมชนต่างๆ เพราะเราล้วนอยู่ในโลกใบเดียวกัน
ทุกวันนี้ เก่อเส่ทู ยังได้เดินทางไปแบ่งปันเรื่องขยะลอแอะ เพื่อขยายและแบ่งปันองค์ความรู้ให้ชุมชนใกล้เคียงหลายพื้นที่ในหลายอำเภอของจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และตาก ซึ่งเขาย้ำว่า การจัดการขยะ การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม นั้นไม่จำเป็นต้องจัดการแค่ในพื้นที่ชุมชนของตนเอง เพราะเราล้วนอยู่ในโลกใบเดียวกัน จำเป็นที่ต้องช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมร่วมกัน
“ตอนนี้ ก็เริ่มมีคนเห็นดีเห็นงามมากขึ้น ทางหน่วยงานท้องถิ่นก็เริ่มมีโครงการรณรงค์เก็บขยะกันแล้ว และหลายพื้นที่ก็ได้นำแนวคิดของเราไปปรับใช้ ขยายผลในพื้นที่หมู่บ้านใกล้เคียง เช่น หมู่บ้านแม่สะป๊อก ก็เริ่มมีกิจกรรมเก็บขยะแบบนี้แล้วเหมือนกัน และที่ผ่านมา ผมได้ไปแลกเปลี่ยน กับเครือข่ายเด็กและเยาวชนหลายหมู่บ้าน อย่างเช่น ที่อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน อ.กัลยานิวัฒนา จ.เชียงใหม่ และหลายพื้นที่ในจังหวัดตาก” เก่อเส่ทู บอก
“โลกกำลังร้องไห้ แต่ทุกวันนี้เราลืมตัว เราไม่ยอมรับ เราไม่ละอายใจ และชอบโยนความผิดให้คนอื่น แต่ไม่ได้โทษตัวเราเอง แต่ถ้าวันหนึ่งเรากลับใจ หันมาทบทวนตัวเอง ก็จะเข้าใจ ใช่ครับ สิ่งที่เราทำนี้ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเอง แต่เราทำเพื่อคนอื่น เพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อโลกของเรา ซึ่งถ้าเราไม่ลงมือทำด้วยตนเองก่อน แล้วใครจะมาช่วยเรา ถ้าเราไม่เริ่มต้นลงมือทำวันนี้ แล้วเราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาเรื่องขยะ เรื่องสิ่งแวดล้อมกันได้ยังไง” เก่อเส่ทู ครูโรงเรียนขยะลอแอะบอก