ถ้าพูดถึงหูฟังของ Sony หลายๆ คนก็อาจจะนึกถึงหูฟังแบบ Headphone ที่ทำกันมานานอย่างตระกูล WH-1000X ที่ Sanook Hitech รีวิวไปหลายรุ่น ที่ราคาแพงเป็นหมื่นแล้วอยากได้ถูกหน้าตาใกล้กัน แต่เบสต้องจัดเต็มกว่านี้ล่ะ ขอแนะนำกับ Sony ULT Wear
Sony ULT Wear (WH-ULT900N) สเปก
- ขนาด : 23.5 x 20.3 x 6.9 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 255 กรัม
- ขนาด Driver : Dynamic Driver 40 mm. แบบแม่เหล็ก นีโอดิเมียม
- การตอบสนองความถี่ : 5Hz – 20,000 Hz
- การเชื่อมต่อ : Bluetooth 5.2
- ไมโครโฟน : 2 ตัว
- ระบบ Noise Cancelation : ชิป Integrated Processor V1 พร้อมกับ Dual Noise Sensor
- คุณภาพเสียง : SBC, AAC, LDAC, DSEE
- พอร์ต : USB-C + ช่องเสียบหูฟัง
- แบตเตอรี่ : 1060 mAh
- สี : ดำ และ ขาวออกครีม
- ของในกล่อง
- กล่องเก็บหูฟัง
- หูฟัง Sony ULT Wear
- สาย USB-C
- สายเสียบหูฟัง
- คู่มือการใช้งาน
ดีไซน์ของ Sony ULT Wear
หน้าตาแรกเห็นผมใช้คำว่าเหมือนกับนำ Sony WH-1000XM3 และ M4 มาปรับปรุงใหม่ โดยตัวครอบภายนอกหน้าตาเป็นวงกลมที่ดูใหญ่นอกจากนี้ที่สังเกตได้ชัดเจนคือ ทั้ง 2 ข้างด้านตรงหูฟังมีลำโพงขนาดใหญ่ 2 ตัวด้วยกัน
ปุ่มควบคุมต่างๆ จะอยู่ทางด้านซ้ายทั้งหมด กดได้สะดวก มีทั้งปุ่ม Power, NC/Ambient Mode, ULT, ไฟสถานะ, ช่องเสียบ USB-C, ช่องเสียบหูฟัง
แต่เซ็นเซอร์การสัมผัสอยู่ฝั่งขวานะ
ด้านในบุนุ่มด้วยนวมขนาดกำลังเหมาะพร้อมกับด้านบนที่มีฟองน้ำที่แน่นเวลาใส่จังหวะแรก แต่ก็นุ่มเมื่อใช้งานนานๆ ทั้งหมดนี้ ถอดเปลี่ยนไม่ได้ การปรับจะเป็นแบบก้านดึงแต่เป็นเขี้ยวล็อคนะ แต่ก็แม่นยำอยู่
ฟีเจอร์ที่น่าใช้ Sony ULT Wear
Sony ULT Wear ไม่ได้มีหน้าตาที่เหมือนกันรุ่นท็อปก็จริง แต่ฟีเจอร์ใส่มาก็เยอะจนรุ่นพี่มองตั้งแต่
- ระบบตรวจจับการสวมใส่
- ระบบการสัมผัสด้านข้าง(ขวา) ทำได้ตั้งแต่ปรับเสียง, เปลี่ยน Track เพลง, หยุด – เล่นเพลง และรับสาย / วางสาย
- มีระบบ ตัดเสียงรบกวนและ Ambient Mode
- ใช้ชิป Integrated Processor V1 ให้การทำงานกับ Dual Noise Reduction ได้ดี
- รองรับระบบ 360 Reality Audio พร้อมกับ Head Tracking (ใช้ได้กับบาง Apps)
- รองรับ Spotify Tap แตะแล้วเล่น Track โปรได้
- ปรับไมโครโฟนใหม่พร้อมกับระบบ Beamforming และมี Wind Noise Reduction
- รองรับ Dolby ATMOS
- รองรับ Google Fast Pair ต่อได้ง่ายกับมือถือ Android
แถมการควบคุมก็ยังสามารถทำได้งานผ่าน Apps Sony Headphone ที่ปรับได้ลึกล้ำรวมถึงการปรับ EQ ที่มี Preset สำเร็จ หรือจะปรับตามใจล็อกได้ 2 Profile เลย และกำหนดเรื่องของสถานที่ว่าแบบไหนให้ระบบ NC ทำงานได้ไหนด้วย
คุณภาพเสียงจากที่ฟัง
จากที่ได้ทดลองฟังนั้นต้องบอกว่า Sony ULT Wear ให้เสียงที่ดังคมชัดกับ Driver ขนาดค่อนข้างใหญ่พอสมควรถึง 40 มิลลิเมตร ใหญ่กว่าหูฟังแบบ TWS แต่พอๆ กันกับ Driver Headphone ทั่วไป แต่ว่าเนื่องจากค่าต่างๆ ที่ได้นั้นถ้าเราไม่กด ULT เสียงก็จะออกมาแบนๆ หน่อย ต้องปรับ Equalizer ช่วยถึงจะมีมิติ
แต่ปุ่ม ULT ก็จะทำให้หูฟังรุ่นนี้มีเสียงต่างกัน 3 แบบคือ
- ไม่กด = ไม่มี Bass
- กดครั้งที่ 1 = เบส จะอยู่ในระดับ 1 – 3 ของ Apps (แต่ในกราฟของ Apps ไม่ได้บอก) เท่ากับจะเพิ่ม อถรรส ในการฟังเพลงได้ดีขึ้น Impact กับจังหวะเพลงปกติได้ดีกว่า เป็นระดับที่ผู้เขียนชอบเลย
- กดครั้งที่ 2 = เบสหนักมาก ตัว Apps จะถึงระดับ 10 ตึบๆ สะใจ เหมากับสาย EDM และ Hip Hop หรือเพลงจังหวะสนุกๆ ผมว่าได้เลยแต่ว่า อาจจะมากไปสำหรับบางคน
อย่างไรก็ตาม Sony ULT Wear อาจจะไม่ได้เหมาะกับคนที่ฟังเพลงสายละมุนมากนัก เพราะว่า จากที่ลองปรับแล้ว มันคือการเอารุ่น Extra Bass มาต่อยอดปรับเสียงโทนและรายละเอียดได้ดีกว่า แต่อาจจะไม่ได้รองรับ Hi-Res Audio เหมือนกับ WH-1000X Series เขานะ
ส่วนไมโครโฟน รุ่นนี้การคุยสนทนาสถานที่ปกติ ทำได้ดีเลย พร้อมกับมะบบตัดเสียงลมด้วย และยังพอใช้ประชุมต้องเงียบหน่อยเพราะว่า ถ้าเกิดไม่ได้อยู่ในห้องเงียบเสียงรอบข้างจะเข้ามาพอสมควร
แบตเตอรี่ / การชาร์จไฟ
อายุการใช้งานแบตเตอรี่อยู่ได้นานสุด 50 ชั่วโมง หากปิด NC แต่ถ้าเปิด จะลดเหลือ 30 ชั่วโมง แถมชาร์จไฟนั้นถ้าเสียบ 3 นาทีใช้งานได้ 1.5 ชั่วโมง เสียบนาน 10 นาที ใช้งานจนได้ 5 ชั่วโมง และ Full Charge 3.5 ชั่วโมงครับ
สรุปหลังได้ใช้งาน Sony ULT Wear มาสัก 1 สัปดาห์
SONY ULT Wear เป็นอีกหูฟังที่เน้นการสวมใส่สบายน้ำหนักไม่มากแต่ฟีเจอร์อัดแน่นไม่แพ้รุ่นพี่อย่าง WH-1000X Series เพียงแต่อาจจะหายไปบางอย่างเพราะราคาของมันที่ถูกกว่านั่นเอง ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้สำหรับคนมีงบไม่ถึงหมื่น มันพอครับ
ราคาของ Sony ULT Wear
ทาง Sony Thai เปิดราคาหูฟังรุ่นนี้ที่ 6,990 บาท ซึ่งถ้าใครซื้อทันก่อนหน้าสิ้นเดือนพฤษภาคม 2024 ก็ได้รับลำโพงจิ๋วไปด้วย แต่ถ้าไม่ทัน Sony ก็มีการยืดประกันออกไปอีก 3 เดือน โดยลงทะเบียนได้ข้างกล่องครับ
จุดเด่น
- ดีไซน์สวย
- ฟีเจอร์ไม่แพ้รุ่นพี่
- ราคาสมเหตุสมผล
- ใช้งานง่ายปรับได้เยอะ
- ปุ่ม ULT กดเร่งเบสทันใจ
- Apps มีและใช้งานไม่ยาก
ข้อสังเกต
- ไม่ได้รองรับ Hi-Res Audio นะ
- ไมโครโฟนแอบมีเสียงรบกวนเข้ามาบ้างb