รัสเซียลั่นจับตาสหรัฐฯ โต้ไบเดนซัดปูตินไม่ควรมีอำนาจต่อ น่าหวาดวิตก
รัสเซียลั่นจับตาสหรัฐฯ – วันที่ 28 มี.ค. รอยเตอร์รายงานว่า ทางการรัสเซียลั่นจับตาสหรัฐอเมริกาใกล้ชิด ชี้คำกล่าวผู้นำสหรัฐกรณีโจมตีผู้นำรัสเซียว่าไม่ควรอยู่ในอำนาจต่อไปนั้นน่าหวาดวิตก ส่วนทำเนียบขาวแจงพัลวัน ยันสหรัฐฯไม่มีเป้าประสงค์โค่นล้มรัฐบาลรัสเซีย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวสุนทรพจน์ระหว่างการเยือนกรุงวอร์ซอว์ ประเทศโปแลนด์ ยืนยันความเป็นเอกภาพร่วมกันกับยูเครน พร้อมโจมตีประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่รุกรานยูเครน ว่าไม่ควรมีอำนาจต่อไป
“เห็นแก่พระเจ้าเถอะ คนแบบนี้ไม่ควรที่จะได้อยู่ในอำนาจอีกต่อไป” และว่าสงครามยูเครนนั้นเป็นการปะทะกันระหว่างระบอบเสรีประชาธิปไตยกับระบอบเผด็จการอำนาจนิยม ส่งผลให้ผู้เชี่ยวชาญแสดงความกังวล ว่าอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจาสงบศึกระหว่างยูเครนกับรัสเซีย
ด้านทำเนียบขาว ระบุถึงคำกล่าวของประธานาธิบดีไบเดน ว่าไม่ได้เป็นการกล่าวเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนรัฐบาลในรัสเซีย ซึ่งเป็นชาติขนาดใหญ่ที่สุด และมีหัวรบนิวเคลียร์ในครอบครองมากที่สุดในโลก
นายดิมิทรี เปสคอฟ โฆษกรัฐบาลรัสเซีย กล่าวถึงคำกล่าวของผู้นำสหรัฐฯ ว่าเป็นเรื่องที่น่าหวาดวิตกอย่างยิ่ง และยืนยันว่าทางการรัสเซียจะจับตาความเคลื่อนไหวและถ้อยคำของสหรัฐฯ ที่ใช้ต่อไปอย่างใกล้ชิด
รายงานระบุว่า ประธานาธิบดีปูติน ดำรงตำแหน่งผู้นำรัสเซียมาตั้งแต่อดีตประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน (ปัจจุบันอสัญกรรมไปแล้ว) ลาออกจากตำแหน่งในปี 2542 มีเพียงช่วงปี 2551-2555 ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในสมัยของอดีตประธานาธิบดีดิมิทรี เมดเวเดฟ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุดเมื่อปี 2563 ส่งผลให้ประธานาธิบดีปูตินสามารถลงชิงตำแหน่งผู้นำรัสเซียได้อีก 2 สมัย (วาระดำรงตำแหน่งละ 6 ปี) หมายความว่าหากประธานาธิบดีปูตินชนะเลือกตั้งทั้ง 2 ครั้งถัดไปก็จะอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีจนถึงปี 2579
ทางการรัสเซียยืนยันว่าประธานาธิบดีปูตินนั้นผ่านกระบวนการการเลือกตั้งมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และมีเพียงชาวรัสเซียเท่านั้นที่มีสิทธิเลือกผู้นำของตัวเอง ไม่ใช่ทางการสหรัฐฯ
สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีไบเดนนั้นถือว่ารุนแรงและผิดธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซีย หรือแม้แต่ธรรมเนียมปฏิบัติของสหรัฐฯที่ผ่านมาต่ออดีตสหภาพโซเวียต
เนื่องจากไม่เคยมีผู้นำสหรัฐฯ คนใด เคยเรียกร้องให้มีการขับไล่ผู้นำของรัสเซียหรืออดีตสหภาพโซเวียตลงจากอำนาจ
คำกล่าวของประธานาธิบดีไบเดนนั้นอาจตอกย้ำความเชื่อของประธานาธิบดีปูตินและบรรดาบุคคลระดับสูงของรัสเซีย ว่าแท้จริงแล้วสหรัฐฯ นั้นมีเจตนาแอบแฝงต้องการทำลายล้างรัสเซีย เพื่อเป็นชาติมหาอำนาจที่สามารถกำหนดทิศทางของประชาคมโลกได้แต่เพียงผู้เดียว
อดีตประธานาธิบดีเมดเวเดฟ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย เคยกล่าวไว้ว่า โลกอาจเข้าสู่ความตึงเครียดด้านสงครามนิวเคลียร์ หากสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าในเส้นทางที่รัสเซียเชื่อว่าเป็นการทำลายล้างอำนาจและอิทธิพลของรัสเซียต่อไป
อดีตประธานาธิบดีเมดเวเดฟ ยังกล่าวเชิงข่มขู่ถึงรัสเซียยุคหลังสิ้นสุดประธานาธิบดีปูตินไปแล้ว ว่ารัสเซียอาจกลายเป็นชาติที่มีศูนย์กลางอำนาจไม่มั่นคง และเป็นชาติที่มีหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุดในโลก เล็งเป้าไปที่สหรัฐฯ และยุโรป
นายนิโคไล ปาตรูเชฟ เลขาธิการใหญ่สภาความั่นคงแห่งชาติรัสเซีย อดีตผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองเอฟเอสเบ เคยกล่าวว่า สหรัฐฯ มีเจตนาแอบแฝงเสมอมาที่ต้องการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติประชาชนในรัสเซีย เหมือนกับที่ทำในจอร์เจีย ยูเครน และอีกหลายชาติที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต
ด้านบรรดาคณะทูตานุทูตของสหรัฐฯ ต่างยืนยันกันอย่างพร้อมเพรียงถึงคำกล่าวของประธานาธิบดีไบเดน ว่าไม่ใ่ช่การเรียกร้องให้เกิดการโค่นล้มอำนาจรัฐบาลรัสเซีย เช่นเดียวกันกับประธานาธิบดีไบเดน ที่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า “เปล่า”
นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ประธานาธิบดีไบเดนหมายถึงว่าประธานาธิบดีปูตินไม่ควรจะมีอำนาจเพื่อใช้ทำสงครามในยูเครนต่อไป พร้อมยืนยันว่าการตัดสินใจเลือกผู้นำรัสเซียนั้นเป็นเอกสิทธิ์ของชาวรัสเซีย
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีปูตินอ้างว่า รัสเซียไม่มีทางเลือกที่ต้องเปิดปฏิบัติการพิเศษทางทหารต่อยูเครน เนื่องจากสหรัฐฯ กำลังพยายามใช้ยูเครนเป็นพื้นที่สร้างภัยคุกคามต่อรัสเซีย ท่ามกลางการกดขี่รังแกจากรัฐบาลยูเครนต่อกลุ่มคนที่ใช้ภาษารัสเซียในยูเครน
ทว่า ทางการยูเครนกล่าวปฏิเสธว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย และเป็นเพียงข้ออ้างของประธานาธิบดีปูตินเพื่อใช้สร้างความชอบธรรมในการรุกรานยูเครนด้วยกำลังรบ