วันที่ 13 มี.ค. รอยเตอร์ รายงานว่า รัสเซีย แสดงความเชื่อใจจีนที่จะช่วยรัสเซียต่อต้านมาตรการคว่ำบาตรของตะวันตกจากสงครามในยูเครน แต่สหรัฐเตือนจีนอย่าช่วย รัสเซีย
นายอันตอน ซีลูอานอฟ รมว.การคลังรัสเซีย กล่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรทำให้รัสเซียไม่สามารถเข้าถึงทองคำและทุนสำรองเงินตราต่างประเทศได้ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทั้งหมด 640,000 ล้านดอลลาร์ และเสริมว่ามีความกดดันให้ปักกิ่งปิดตัวลงอีก
“เรามีทองคำสำรองและทุนสำรองเงินตราต่างประเทศบางส่วนในสกุลเงินจีนเป็นหยวน และเราเห็นแล้วว่า ประเทศตะวันตกกำลังกดดันจีนเพื่อจำกัดการค้าร่วมกับจีน แน่นอนว่ามีแรงกดดันที่จะจำกัดการเข้าถึงเงินสำรองเหล่านั้น แต่ผมคิดว่า การเป็นหุ้นส่วนของเรากับจีนจะยังช่วยให้เรารักษาความร่วมมือที่เราได้รับ ไม่เพียงแต่รักษา แต่ยังเพิ่มความร่วมมือในสภาพแวดล้อมที่ตลาดตะวันตกกำลังจะปิดตัวลง”
ประเทศตะวันตกได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนต่อระบบองค์กรและระบบการเงินของรัสเซีย ตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ในสิ่งที่รัสเซียเรียกว่าปฏิบัติการทางทหารพิเศษ
ความคิดเห็นของรมว.การคลังรัสเซียในการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ถือเป็นคำแถลงชัดเจนที่สุดจากรัสเซียที่จะขอความช่วยเหลือจากจีนเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐกำลังเตือนจีนอย่าให้ความช่วยเหลือรัสเซีย
“เราจะไม่ยอมให้ความช่วยเหลือของจีนดำเนินต่อไปและปล่อยให้รัสเซียฟื้นคืนชีพจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากประเทศใดๆ ที่ใดในโลก” นายซัลลิแวนกล่าว ซึ่งมีกำหนดจะพบกับนักการทูตระดับสูงของจีน นายหยาง เจียฉี ในกรุงโรมของอิตาลี ในวันจันทร์ที่ 14 มี.ค.
ทั้งนี้ รัสเซียและจีนกระชับความร่วมมือกันในช่วงไม่นานนี้ เนื่องจากทั้งสองอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างแข็งขันจากตะวันตกเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและประเด็นอื่นๆ รัฐบาลจีนไม่ได้ประณามการโจมตีของรัสเซียในยูเครนและไม่เรียกการกระทำดังกล่าวเป็นการบุกรุก แต่เรียกร้องการเจรจาหาทางออก
ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และสี จิ้นผิง พบกันที่ปักกิ่งเมื่อวันที่ 4 ก.พ. และประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่ทั้งสองกล่าวว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อตอบโต้อิทธิพลของสหรัฐ โดยอธิบายว่าเป็นมิตรภาพที่ไร้ขอบเขต
จีนเป็นตลาดส่งออกอันดับต้นของรัสเซียรองจากสหภาพยุโรป การส่งออกของรัสเซียไปจีนมีมูลค่า 79,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2564 โดยน้ำมันและก๊าซคิดเป็น 56% ของมูลค่าดังกล่าว ตามการระบุของหน่วยงานศุลกากรของจีน