-
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด หรือ Total Knee Arthroplasty (TKA) มักทำในผู้ป่วยที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมรุนแรง รักษาด้วยวิธีอื่นๆ แล้วไม่หาย หรือมีความผิดรูปเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งหากมีอาการรุนแรงก็ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานๆ เพราะการผ่าตัดอาจจะซับซ้อนมากขึ้น และผลลัพธ์หลังการผ่าตัดที่อาจไม่ดีเท่าที่ควร
-
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมดสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 10-20 ปี
-
ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่ามากกว่า 55,000 คน มีเพียง 3.9% เท่านั้นที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขในช่วง 10 ปี หลังการผ่าตัด
ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมที่มีอาการปวดรุนแรงเรื้อรังมานาน และรักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การรับประทานยา การทำกายภาพบำบัด แล้วไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ซึ่งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมนั้นสามารถเลือกทำได้ในหลากหลายช่วงอายุ แต่ละช่วงอายุมีการใช้เทคนิคการผ่าตัดที่เหมาะสมแตกต่างกันไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและอาการของโรค รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ด้วย
นอกจากนั้นแล้ว การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมยังช่วยหลีกเลี่ยงการเกิดความผิดปกติของร่างกายในส่วนอื่นๆ และยังช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ผู้ป่วยได้อีกด้วย ทั้งนี้ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และข้อบ่งชี้ต่างๆ ของผู้ป่วยด้วยเช่นกัน
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด (Total Knee Arthroplasty: TKA)
นพ.กฤษกมล สิทธิทูล แพทย์ผู้ชำนาญการ สาขาออร์โธปิดิกส์ รพ.สมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด หรือเรียกสั้นๆ ว่า TKA คือ การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม โดยการผ่าตัดเอาผิวข้อเข่าส่วนที่เสียหรือเสื่อมสภาพออกทั้งหมด ทั้งส่วนปลายของกระดูกต้นขา (Femur) และส่วนบนของกระดูกหน้าแข้ง (Tibia) ทั้งฝั่งด้านในและด้านนอก (Medial and Lateral Compartment) แล้วแทนที่ด้วยผิวข้อเข่าเทียมที่ทำจากโลหะอัลลอยด์ครอบหรือคลุมกระดูกส่วนที่เฉือนออกไป โดยมีแผ่นโพลีเอทิลีนชนิดพิเศษกั้นระหว่างโลหะ
การผ่าตัดวิธีนี้ได้ผลดีในผู้ป่วยที่มีการทำลายของกระดูกอ่อนและเอ็นภายในข้อเข่าไปมากแล้ว รวมถึงมีการผิดรูปของแนวขาร่วมด้วย การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมดนั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาตรงจุดนี้ได้ในคราวเดียว
(Figure 1: Total Knee Arthroplasty: TKA)
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมดเหมาะกับใคร
- ผู้ป่วยที่มีอาการปวดข้อเข่ามากจนทำให้คุณภาพชีวิตลดลง ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น การลุกนั่ง การเดินขึ้นลงบันได การเดินซื้อของ หรืออาการปวดที่เกิดขึ้นแม้อยู่ในขณะพัก เป็นต้น
- ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการปวดข้อเข่ามาก หรือไม่ได้เป็นตลอดเวลา แต่อาการปวดนั้นส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตหรือการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ไม่อยากเดินขึ้นลงบันได ช่วยเหลือตัวเองได้ลำบาก ไม่สามารถยืนเองได้ต้องมีคนคอยพยุงอยู่ตลอดเวลา
- ผู้ป่วยใช้การรักษาโดยวิธีอื่น เช่น การรับประทานยา การรักษาทางชีวภาพ การทำกายภาพบำบัด แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือดีขึ้นด้วยการรับประทานยาลดการอักเสบอย่างต่อเนื่องยาวนาน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออวัยวะสำคัญอื่น เช่น ไต และตับ เป็นต้น
- การดำเนินของโรคอยู่ในระยะรุนแรง มีการทำลายของกระดูก กระดูกอ่อน และเนื้อเยื่อรอบข้อเข่าไปมากกว่า 1 ส่วน
- ผู้ป่วยมีลักษณะของขาที่โก่งมาก ข้อเข่าติด เคลื่อนไหวได้ลดลง เหยียดเข่าได้ไม่สุด และงอเข่าได้น้อยกว่า 90 องศา
- สามารถทำได้ในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 50-60 ปีขึ้นไป ร่วมกับมีปัจจัยดังกล่าวข้างต้นร่วมด้วย โดยที่ผู้ป่วยต้องไม่กลับไปทำกิจกรรมที่มีแรงกระแทกต่อข้อเข่ามากๆ เล่นกีฬาที่มีแรงปะทะ หรือยกของหนัก
- การผ่าตัดวิธีนี้ ไม่เหมาะกับคนที่ยังอายุน้อยมากๆ เพราะอุปกรณ์มีการสึกหรอไปตามกาลเวลา โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 15-20 ปี จึงอาจต้องมีการผ่าตัดซ้ำอีกครั้ง
- หากผู้ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกบางชนิด เช่น มีภาวะกระดูกพรุนขั้นรุนแรง โรครูมาตอยด์ หรือโรคกระดูกอ่อนบางโรค เช่น โรคกระดูกอ่อนไม่แข็งแรง ต้องมีความระมัดระวังในการผ่าตัด รวมถึงขั้นตอนการเตรียมร่างกายทั้งก่อนและหลังผ่าตัดมากขึ้น
ข้อดีและปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด
- สามารถช่วยแก้ไขปัญหาของข้อเข่าเสื่อม ในเรื่องของความเจ็บปวด ความผิดรูปหรือความโก่งของขา และช่วยเพิ่มความมั่นคงให้ข้อเข่าได้ในคราวเดียว
- เนื่องจากต้องมีการวางแผนก่อนการผ่าตัด เพื่อที่จะทำการผ่าตัดและวางตำแหน่งผิวข้อเข่าเทียมได้อย่างถูกต้องและตรงจุด รวมถึงทำการปรับความตึงของเนื้อเยื่อรอบๆ ข้อเข่าให้เหมาะสม เพื่อให้ขาไม่โก่งเหมือนตอนก่อนผ่าตัด จึงจำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด รวมถึงเครื่องมือที่ครบครันและทันสมัย เพื่อให้ผลการผ่าตัดมีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้ป่วยมีข้อเข่าใหม่ที่มั่นคง หายจากอาการปวด ใช้งานข้อเข่าใหม่ได้ดีกว่าเดิม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
- การผ่าตัดวิธีนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่ยังอยากวิ่งหรือเล่นกีฬาที่ใช้ข้อเข่าเยอะๆ เพราะอาจทำให้ข้อเข่าสึกเร็วกว่ากำหนด
การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด
เมื่อผู้ป่วยกลับบ้านแล้ว ควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์ โดยใช้ไม้ช่วยพยุงการเดินในช่วงแรกโดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุ รวมถึงการจัดบ้านให้มีความเหมาะสมและปลอดภัย ออกกำลังกายตามที่แพทย์และนักกายภาพบำบัดแนะนำก่อนกลับบ้าน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าและต้นขา และเพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อเข่าด้วยเช่นกัน และควรมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามอาการและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังการผ่าตัด
ทั้งนี้ ควรหมั่นสังเกตภาวะติดเชื้อในข้อเข่าเทียมที่อาจจะเกิดขึ้นได้ภายใน 1 ปีหลังการผ่าตัด เช่น แผลผ่าตัดมีลักษณะปวดบวมแดงร้อน การมีไข้สูงนานๆ หรืออาการปวดเข่าข้างที่ผ่าตัดมากๆ หากมีอาการเหล่านี้แนะนำให้ผู้ป่วยรีบติดต่อแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด
ระยะเวลาที่สามารถกลับมาเดินได้อย่างปกติ
ผู้ป่วยสามารถลุกขึ้นยืนจากท่านั่ง รวมถึงสามารถเดินลงน้ำหนักขาข้างที่ผ่าตัดได้เต็มที่โดยใช้ไม้พยุงหรือวอล์กเกอร์ได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังผ่าตัด หรือวันรุ่งขึ้น หากผู้ป่วยไม่สามารถทำได้ก็มักจะให้ลงเดินภายใน 1-2 วัน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย โดยทั่วไปจะสามารถกลับไปดำเนินชีวิตตามปกติภายใน 6 เดือน – 1 ปีหลังจากผ่าตัด แต่พบได้ไม่น้อยที่สามารถกลับไปดำเนินชีวิตปกติได้เร็วกว่านี้ คือ ภายใน 3 เดือนหลังการผ่าตัด
อายุการใช้งานของข้อเข่าเทียม
คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตที่ผู้ป่วยมักถามแพทย์อยู่เสมอ จริงๆ แล้วอายุการใช้งานของข้อเข่าเทียมนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การผ่าตัดนั้นทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ การเลือกเทคนิคการผ่าตัดได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับความรุนแรงของโรคหรือไม่ หรือคนไข้มีการใช้งานข้อเข่าหลังผ่าตัดอย่างไร ใช้งานข้อเข่าหนักหน่วงมากแค่ไหน มีงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการ The Lancet พบว่า ในบรรดาผู้ป่วยมากกว่า 55,000 คนที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า มีเพียง 3.9% เท่านั้นที่เข้ารับการผ่าตัดแก้ไขในช่วง 10 ปี และ 10.3% เท่านั้นที่เข้ารับการผ่าตัดแก้ไขในช่วง 20 ปีหลังการผ่าตัดครั้งแรก
และยังมีอีกหลากหลายการศึกษาที่พบว่า มากกว่า 90-95% ของผู้ป่วยที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด ยังสามารถใช้ข้อเข่าเทียมได้ดีถึงแม้ว่าจะผ่าตัดมาแล้วมากกว่า 10 ปีก็ตาม จึงสามารถบอกได้ว่าการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมดสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 10-20 ปี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การจะใช้ได้ข้อเข่าเทียมได้ยาวนานแค่ไหนก็ขึ้นกับอีกหลากหลายปัจจัยข้างต้นด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ควรทำ และ ควรหลีกเลี่ยง หลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมทั้งหมด
ผู้ป่วยสามารถเลือกการออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มสมรรถภาพของระบบหัวใจและหลอดเลือดและกล้ามเนื้อให้สูงขึ้นได้ เช่น การว่ายน้ำ การปั่นจักรยาน การออกกำลังกายในน้ำ เป็นต้น อีกทั้งการออกกำลังกายที่ไม่มีแรงกระแทกต่อข้อเข่ายังช่วยยืดอายุข้อเข่าเทียมให้ใช้งานได้นานขึ้นอีกด้วย
ในส่วนของกิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ได้แก่ กีฬาที่มีแรงกระแทกรุนแรงต่อข้อเข่า หรือมีการกระโดด เช่น บาสเกตบอล ฟุตบอล แบดมินตัน การวิ่ง เทนนิส เพราะแรงกระแทกจะทำให้ส่วนที่เป็นพลาสติกโพลีเอทิลีนในข้อเข่าเทียมเสื่อมสภาพเร็วขึ้น หรือแม้แต่การยกของหนักเป็นประจำ รวมถึงกิจกรรมที่มีการพับงอข้อเข่ามากๆ เช่น การนั่งพับเพียบ การนั่งคุกเข่า การนั่งขัดสมาธิ การนั่งยองๆ ในส่วนของห้องน้ำแนะนำว่าควรเปลี่ยนเป็นชักโครกแทนการนั่งยองๆ จะดีที่สุด
แน่นอนว่าข้อเข่าและกระดูกในร่างกายของเรามีวันที่จะเสื่อมไปตามอายุและวัยของเรา หากผู้ป่วยมีอาการของภาวะข้อเข่าเสื่อมและยังไม่อยากผ่าตัด ก็สามารถเริ่มดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ เช่น
- การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่สมดุล
- ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า
- เคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ เปลี่ยนอิริยาบถอยู่บ่อยๆ รู้ศักยภาพของตัวเอง
ในทางกลับกัน หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากขึ้น รักษาด้วยวิธีไหนๆ ก็ไม่หาย หรือมีความผิดรูปเกิดขึ้นแล้ว ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานๆ เพราะการผ่าตัดอาจจะซับซ้อนมากขึ้น และผลลัพธ์หลังการผ่าตัดที่อาจไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้น ผู้ป่วยจึงควรรีบมาพบแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อ เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมให้เร็วที่สุด