ลาลีกา ฤดูกาล 2020/21 ถือเป็นฤดูกาลที่เบียดแย่งแชมป์กันตื่นเต้นที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ จนถึงเวลานี้ เหลือเพียงแค่ 2 ทีมที่มียังลุ้นในนัดสุดท้าย นั่นคือ แอตเลติโก มาดริด และ เรอัล มาดริด
ด้วยช่องว่างที่ห่างกันเพียงแค่ 2 คะแนน ทีมที่มีแต้มตามหลังก็ยังมีโอกาสที่จะพลิกแซงคว้าแชมป์ ซึ่งทางลาลีกา ได้หยิบยก 5 เหตุการณ์การลุ้นแชมป์สุดดราม่าของเกมปิดซีซั่น ในรอบ 30 ปีหลังสุด มาเรียกน้ำย่อยก่อนนัดสุดท้ายช่วงสุดสัปดาห์นี้
1993/94 บาร์เซโลน่า เฉือนคว้าแชมป์เหนือ ลา คอรุนญ่า
ลา คอรุนญ่า นำเป็นจ่าฝูงตั้งแต่นัดที่ 14 ของฤดูกาล จนกระทั่งก่อนลงเตะนัดสุดท้าย มีคะแนนนำบาร์เซโลน่า 1 แต้ม “ซูเปอร์เดปอร์” ขอเพียงแค่เอาชนะบาเลนเซียในบ้านตัวเองให้ได้ ก็จะคว้าแชมป์ทันที
ที่สนามริอาซอร์ ทั้ง 2 ทีม ยังทำอะไรกันไม่ได้ จนกระทั่งช่วงท้ายเกมของครึ่งหลัง ลา คอรุนญ่าได้จุดโทษ มิโรสลาฟ ยูคิช รับหน้าที่สังหารเพื่อพาทีมคว้าแชมป์ แต่โชคร้ายยิงไปติดเซฟของผู้รักษาประตูทีมเยือน
จบเกม ลา คอรุนญ่า เสมอบาเลนเซีย 0-0 ขณะที่ผลอีกคู่ บาร์เซโลน่า เปิดคัมป์ นู เอาชนะเซบีย่า 5-2 ทำให้ลา คอรุนญ่า มีแต้มเท่ากับบาร์เซโลน่า แต่ “เจ้าบุญทุ่ม” แซงคว้าแชมป์ด้วยผลงานเฮด-ทู-เฮด ที่ดีกว่า
1999/00 แชมป์ประวัติศาสตร์ของ ลา คอรุนญ่า ดับฝัน บาร์เซโลน่า
บาร์เซโลน่า แชมป์เก่า 2 ฤดูกาลติดต่อกันในซีซั่น 1997/98 และ 1998/99 ลุ้นป้องกันแชมป์อีกครั้ง โดยมีเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า เป็นผู้ท้าชิง เช่นเดียวกับเมื่อ 6 ปีก่อน ซึ่งทั้ง 2 ทีม ผลัดกันนำผลัดกันตามมาโดยตลอด
ในเกมนัดสุดท้ายของซีซั่น มีลุ้นพร้อมกันถึง 3 สนาม ลา คอรุนญ่า-เอสปันญ่อล, บาร์เซโลน่า-เซลต้า บีโก้ และ บาเลนเซีย-เรอัล ซาราโกซ่า โดยลา คอรุนญ่า ขอแค่เอาชนะเอสปันญ่อลในบ้านตัวเองก็จะคว้าแชมป์ทันที
สุดท้าย ลา คอรุนญ่า ก็ไม่พลาด เอาชนะไปได้ 2-0 จากผลงานของโดนาโต้ และ รอย มาคาย “ซูเปอร์เดปอร์” คว้าแชมป์ลาลีกาเป็นสมัยแรกและสมัยเดียวในประวัติศาสตร์สโมสร หยุดความยิ่งใหญ่ของบาร์ซ่าลงได้สำเร็จ
2006/07 เรเยส ซูเปอร์ซับ เรอัล มาดริด กลับคืนสู่บัลลังก์
นัดปิดฤดูกาล 2006/07 มีทีมลุ้นแชมป์ถึง 3 ทีม ได้แก่ เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และ เซบีย่า ซึ่ง เรอัล มาดริด ได้เปรียบเรื่องผลงานเฮด-ทู-เฮด ที่ดีกว่าอีก 2 ทีม ถ้า “ราชันชุดขาว” เปิดบ้านชนะเรอัล มายอร์ก้า ได้ ก็จะคว้าแชมป์ทันที
ทว่า มายอร์ก้า กลับช็อกแฟนบอลเจ้าถิ่น ยิงขึ้นนำไปก่อน ซึ่งในเวลาเดียวกัน บาร์เซโลน่า นำห่างกิมนาสติกแบบหายห่วง ขณะที่เซบีย่าตามหลังบียาร์เรอัล ตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งหลัง สถานการณ์ในเวลานั้น บาร์ซ่าเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ
แต่แล้ว “ราชันชุดขาว” ก็เปลี่ยนตัว โฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส (ผู้ล่วงลับ) ลงมาแทน เดวิด เบ็คแฮม และเป็นเรเยสที่เป็นฮีโร่ ยิงคนเดียว 2 ประตู ก่อนที่ทีมจะเอาชนะมายอร์ก้าไปได้ 3-1 คว้าแชมป์ลาลีกาเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปีได้สำเร็จ
2013/14 โกดิน ฮีโร่ แอตเลติโก้ มาดริด สิ้นสุด 18 ปีที่รอคอย
แอตเลติโก มาดริด และ บาร์เซโลน่า เป็นคู่ชิงแชมป์ลาลีกาประจำฤดูกาล และทั้ง 2 ทีมมีโปรแกรมพบกันเองในนัดสุดท้าย โดยทีมของดิเอโก้ ซิเมโอเน่ มีแต้มนำอยู่ 3 แต้ม ซึ่งการพบกันนัดแรกที่บ้านของแอตฯ มาดริด เสมอกันมา 0-0
เกมตัดสินแชมป์ที่สนามคัมป์ นู อเล็กซิส ซานเชซ ยิงให้เจ้าบ้านออกนำก่อนในนาทีที่ 33 แต่ ดิเอโก้ โกดิน ตามตีเสมอให้ทีมเยือนในนาทีที่ 49 ทำให้บาร์ซ่าต้องกลับมายิงประตูขึ้นนำให้ได้ เพื่อความได้เปรียบเรื่องกฎเฮด-ทู-เฮด
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกมเสมอกันไป 1-1 “ตราหมี” คว้าแชมป์ลาลีกาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 1995/96 เป็นการทลายกำแพงความยิ่งใหญ่ของ บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ลงได้สำเร็จ
2016/17 โรนัลโด้ ปลดล็อก เรอัล มาดริด ทวงแชมป์คืนในรอบ 5 ปี
2 ทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอลสเปน เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า เป็นคู่ชิงแชมป์ประจำฤดูกาล เรอัล มาดริด มีคะแนนนำอยู่ 3 แต้ม แต่บาร์เซโลน่าได้เปรียบเรื่องผลงานเฮด-ทู-เฮด ยังมีโอกาสแซงคว้าแชมป์ได้เช่นกัน
โปรแกรมนัดสุดท้ายของซีซั่น เรอัล มาดริด บุกไปเยือนมาลาก้า ขณะที่บาร์เซโลน่า เปิดบ้านรับมือเออิบาร์ ซึ่งเงื่อนไขการคว้าแชมป์ของบาร์เซโลน่านั้นยากกว่า เพราะต้องเอาชนะให้ได้สถานเดียว และลุ้นให้เรอัล มาดริดแพ้ด้วย
ประตูของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ตั้งแต่ 2 นาทีแรกของเกม ช่วยให้ทีมเยือนปลดล็อกความกดดัน ตามด้วยประตูปิดท้ายของคาริม เบนเซม่า ชัยชนะ 2-0 เหนือมาลาก้า ส่งให้ “ราชันชุดขาว” คว้าแชมป์ลาลีกาได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี