เพจเฟซบุ๊ก โรงพยาบาลนครพิงค์ ได้ออกมาเผยแพร่เรื่องราวของ 2 ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ถูกส่งต่อมารักษาที่ รพ.นครพิงค์ เนื่องจากมีอาการรุนแรงระดับวิกฤต โดยทีมแพทย์ได้รักษาอย่างสุดความสามารถจนอาการดีขึ้น จนพ้นวิกฤต และส่งต่อไปรักษาที่ รพ.ชุมชน ข้อความระบุดังนี้
“เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ จากใจผู้ป่วยโควิด คือคำบอกเล่าของผู้ป่วยโควิด ที่มีอาการรุนแรงระดับวิกฤต ที่เคยต้องพึ่งพาเครื่องช่วยหายใจมานานหลายวัน จนในวันที่ได้ถอดพันธนาการจากเครื่องพยุงชีวิตต่างๆ เหล่านั้น และแข็งแรงพอที่จะบอกเล่าความรู้สึกกับเราได้
ผู้ป่วยคนแรก เป็นหญิงวัย 58 ปี ส่งตัวจาก รพ.ชุมชน มารักษาที่ รพ.นครพิงค์ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน บอกกับเราด้วยเสียงที่ยังแหบ เนื่องจากใส่ท่อช่วยหายใจอยู่นาน 6 วัน “ขอบคุณนักๆ เจ้า ตี้จ้วยฮื้อป้ารอดชีวิต ขอบคุณหมอพยาบาล อยากบอกกู้คนว่า กินร้อนช้อนกลาง ใส่หน้ากากนะเจ้า” คุณป้าไม่ลืมที่จะเป็นห่วงคนอื่นๆ
ผู้ป่วยคนที่ 2 เป็นชายวัย 44 ปี ส่งตัวจากรพ.สนามมารักษาที่ รพ.นครพิงค์ ตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน ได้ใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ 6 วัน อาการค่อยๆ ทุเลาลง จนถอดท่อช่วยหายใจได้แล้ว ได้บอกกับเราว่า “อาการผมดีขึ้นมาก เหนื่อยนิดเดียวแล้ว ขอบคุณหมอ พยาบาลครับที่ช่วยผมผ่านวิกฤตมาได้ “
ผู้ป่วยทั้ง 2 รายนี้ ได้รักษาตัวในรพ.นครพิงค์ 8 และ 16 วันตามลำดับ จากที่เคยมีอาการระดับวิกฤต (สีแดง) จนในวันนี้อาการลดระดับลงมาเหลือเพียงปานกลาง (สีเหลือง) จึงได้ส่งตัวไปพักฟื้นต่อที่รพ.ชุมชน เพื่อให้ รพ.นครพิงค์มีพื้นที่สำหรับดูแลผู้ป่วยที่มีอาการหนักกว่าต่อไป จากแผนยุทธศาสตร์ของจ.เชียงใหม่ ที่ให้ รพ.นครพิงค์ เป็นหน่วยงานหลักในการดูแลผู้ป่วยหนักร่วมกับ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ทำให้หน้าที่หลักของเราคือการพาคนไข้ให้พ้นวิกฤต ซึ่งที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ (30 เมษายน) รพ.นครพิงค์ได้ให้การดูแลผู้ป่วยโควิดระลอกเดือน เม.ย.ไปทั้งสิ้น 168 ราย รักษาจนอาการทุเลาสามารถย้ายไป รพ.สนาม หรือ รพ.ชุมชน ได้แล้ว 125 ราย ยังอยู่ในรพ. 41 ราย และเสียชีวิต 2 ราย (ข้อมูลในภาพเป็นข้อมูลรวมผู้ป่วยของการระบาดทั้ง 3 รอบ)
ด้วยการที่รพ.นครพิงค์ต้องดูแลกลุ่มผู้ป่วยหนักเป็นหลัก เราจึงไม่มีโอกาสได้ดูแลผู้ป่วยจนถึงวันที่ได้กลับบ้าน เพราะหน้าที่ของเราคือการพาผู้ป่วยให้พ้นวิกฤต เพื่อส่งต่อให้เพื่อนนักรบชุดขาวจากรพ.อื่นๆได้ดูแลผู้ป่วยต่อจนได้กลับบ้านต่อไป แม้ว่าเราอาจจะไม่สามารถพาทุกคนให้ผ่านวิกฤตไปได้ทั้งหมด แต่เราจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด”