ยูเครนหนีตายทะลัก มีผู้อพยพแล้ว 1.5 ล้านคน ด้านสหรัฐฯถกโปแลนด์เสริมทัพฟ้ายูเครน
เมื่อวันที่ 6 มี.ค. รอยเตอร์รายงานความคืบหน้าสถานการณ์การสู้รบในประเทศยูเครนล่วงเข้าสู่วันที่ 11 ทำให้จำนวนผู้อพยพจากยูเครนเพิ่มทะลุ 1.5 ล้านคนแล้ว ท่ามกลางการร้องขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากนานาชาติของรัฐบาลยูเครน รวมถึงการยกระดับกดดันประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย
ล่าสุด วีซ่า และมาสเตอร์การ์ด บริษัทชำระเงินผ่านบัตรเครดิตประกาศระงับให้บริการในรัสเซีย และทางการเกาหลีใต้ประกาศงดส่งออกสินค้าไปยังประเทศเบลารุส เนื่องจากเป็นชาติที่สนับสนุนทางการรัสเซียทำสงครามในยูเครน
องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า สงครามที่เกิดขึ้นทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 249 ราย บาดเจ็บกว่า 553 คน มีผู้อพยพพลัดถิ่นแล้วอย่างน้อย 160,000 คน และลี้ภัยสงครามกว่า 1.2 ล้านคน โดยคาดว่าจะทะลุ 1.5 ล้านคนภายในวันนี้ ขณะที่องค์การผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ คาดว่า จำนวนผู้ลี้ภัยจากยูเครนอาจสูงถึง 4 ล้านคน ภายในเดือนก.ค.นี้
ทางการยูเครนและรัสเซียยังกล่าวโทษกันไปมา กรณีกองทัพรัสเซียละเมิดการประกาศหยุดยิงของฝ่ายตัวเอง เพื่อให้พลเรือนในเมืองมาริอูโปลและโวลโนวักฮาทางภาคตะวันออกของยูเครนหนีไฟสงคราม แต่ลงเอยด้วยการที่ฝ่ายรัสเซียใช้ปืนใหญ่ยิงถล่มทำให้ประชาชนที่กำลังอพยพนั้นต้องหนีตายกลับเข้าหลุมหลบภัย อย่างไรก็ตาม ทางการยูเครนยืนยันจะเปิดการเจรจาหาทางออกรอบที่สามกับรัสเซีย เพื่อหาทางออกของสงครามรวมทั้งให้ประชาชนอพยพออกจากเขตสู้รบ
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีย์ ผู้นำยูเครน กล่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจจากกรุงเคียฟ เรียกร้องให้ชาวยูเครนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่ตกอยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซียให้จับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายซึ่งกำลังรุกรานยูเครนออกไป
ขณะที่ประธานาธิบดีปูติน กล่าวย้ำถึงเป้าหมายของปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน ว่าต้องการให้ยูเครนเป็นชาติที่เป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด กล่าวคือ เป็นชาติที่ถูกปลดอาวุธ และลัทธินาซีใหม่ถูกกวาดล้างอย่างราบคาบ พร้อมข่มขู่ชาติตะวันตกที่ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ว่าเทียบเท่ากับการประกาศสงคราม ทั้งยังกล่าวถึงข้อเรียกร้องของทางการยูเครนให้บังคับน่านฟ้าเหนือกรุงเคียฟเป็นเขตห้ามบินว่าจะถือว่าชาติที่สนับสนุนมติดังกล่าวมีส่วนร่วมในการทำสงครามกับรัสเซีย
วันเดียวกัน ทางการสหรัฐอเมริกา ระบุว่า จะจัดส่งยุทโธปกรณ์ให้กับยูเครนเพิ่มอีก ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการของบประมาณฉุกเฉิน 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 3.2 แสนล้านบาท เพื่อนำไปใช้รับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครน นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการหารือกับทางการโปแลนด์ถึงความเป็นไปได้ในการทดแทนฝูงบินขับไล่ให้กองทัพอากาศยูเครน โดยสหรัฐฯ จะเป็นผู้ทดแทนฝูงบินที่ส่งไปยูเครนให้กับโปแลนด์เอง
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังผู้นำยูเครนไลฟ์สดผ่านรัฐสภาคองเกรส โดยร้องขอให้ชาติตะวันตกส่งยุทโธปกรณ์และเครื่องบินขับไล่มาทดแทนให้กองทัพยูเครน การระงับนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากรัสเซีย และกำหนดเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้ากรุงเคียฟ ล่าสุด บริษัทระบบชำระเงินผ่านบัตรเครดิตวีซ่า และมาสเตอร์การ์ด ระงับการใช้งานในรัสเซียตามข้อเรียกร้องของผู้นำยูเครนแล้ว
อย่างไรก็ดี องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต้ กล่าวแสดงความไม่เห็นด้วยถึงข้อเรียกร้องการบังคับน่านฟ้าเหนือกรุงเคียฟเป็นเขตห้ามบิน เพราะอาจทำให้การสู้รบขยายตัวออกไปนอกยูเครน
ขณะที่นายนัฟตาลี เบนเน็ตต์ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เดินทางเข้าพบประธานาธิบดีปูติน และหารือกับประธานาธิบดีเซลเนสกีย์ เพื่อพยายามไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่าย เช่นเดียวกันกับประธานาธิบดีเรเจ็ป เตยิป เอร์โดอัน ผู้นำตุรกี ที่มีกำหนดจะเข้าหารือกับผู้นำรัสเซีย
ส่วนนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวในการประชุมร่วมกับผู้นำชาติยุโรปและแคนาดา โดยเสนอแผนรับมือ 6 ข้อต่อการสู้รบในยูเครน และกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียยังคงเรียกร้องจุดยืนเดิมให้ชาติตะวันตกยุติการส่งยุทโธปกรณ์ชั้นสูงเข้ามาในยูเครน
ด้านสถานการณ์สู้รบ กระทรวงกลาโหมรัสเซีย ระบุว่า ยังอยู่ระหว่างภารกิจการโจมตีกองทัพยูเครนในหลายพื้นที่ทั่วประเทศยูเครน และสามารถเข้ายึดครองพื้นที่ได้จำนวนมาก โดยล่าสุดใช้ขีปนาวุธครุยส์ยิงทำลายฐานทัพอากาศเมืองสตาโรโกสเตียนตีนีฟทางภาคตะวันตกของยูเครน ขณะที่ WHO แถลงประณามที่รัสเซียโจมตีศูนย์การแพทย์หลายแห่งในยูเครน ว่าเป็นการฝ่าลืนข้อบังคับสากล เพราะบุคลากรทางการแพทย์ถือว่าเป็นกลางในสงคราม
ขณะที่กระทรวงกลาโหมยูเครน ระบุว่า อยู่ระหว่างการต่อต้านการรุกรานโดยเฉพาะที่สมรภูมิสโลโบชานสกี และเชอร์นิฮีฟ ในเขตปกครองดอนบาสส์ ทางตะวันออกของประเทศ ส่วนที่เมืองคาร์คีฟนั้นทั้งสองฝ่ายยังสู้รบกันอยู่ นอกจากนี้ ฝ่ายยูเครนเปิดเผยว่าสามารถยิงเครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ของรัสเซียตกแล้ว 88 ลำ สามารถสังหารทหารรัสเซียไปได้แล้ว 11,000 นาย