มาโน โพลกิง กุนซือทีมชาติไทยคนใหม่ เผยสุดตื้นเต้นกับตำแหน่งกุนซือช้างศึก ยอมรับได้แฟนวิจารณ์ไม่เคยพาทีมคว้าแชมป์ เชื่อผลงานช้างศึกจะกลบเสียงด่า
มาโน โพลกิง เฮดโค้ชวัย 45 ปี ถูก “มาดามแป้ง”นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีม เลือกเข้ามาคุมทัพช้างศึก แทนที่ อากิระ นิชิโนะ ภายใต้สัญญาระยะสั้น ในชิงแชมป์อาเซียน ช่วงปลายปีนี้ โดยมีเวลาเตรียมทีมเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น ก่อนจะประเดิมเกมนัดแรกพบกับ ติมอร์ เลสเต วันที่ 5 ธันวาคม 2564
กุนซือใหม่ทีมชาติทไย กล่าวว่า “ขอขอบคุณที่ให้การต้อนรับผมกลับมา วินาทีแรกที่ผมรู้ว่าผมถูกเลือก ผมรู้สึกภาคภูมิใจมากๆ ดีใจมากๆ ทุกคนรู้ดีว่าประเทศไทยเปรียบเหมือนกับบ้านหลังที่สองของผม ผมเริ่มต้นอาชีพที่นี่ในฐานะโค้ช การได้รับเลือกให้คุมทีมชาติไทยถือเป็นคำชมที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ ความรู้สึกแรกจึงเป็นเรื่องความสุข ความมั่นใจ และความตื่นเต้น”
- ไทยลีก แจ้งสโมสรสมาชิกที่ได้รางวัลฤดูกาล 2020 เร่งส่งเอกสารรับเงิน
“ในซูซูกิ คัพ ถือเป็นศึกครั้งสำคัญ อย่างที่เรารู้ว่าเราไม่ได้มีเวลาเตรียมทีมมากนัก ซึ่งแทบจะทุกครั้งในการเตรียมชาติไทยที่ผ่านมามักจะเกิดเรื่องแบบนี้ ทางลีกมีผลประโยชน์เช่นเดียวกับสโมสร พวกเขาต้องการนักเตะซึ่งผมเข้าใจเป็นอย่างดี ผมได้พูดคุยกับทีมงานของผม กับอร์ดบริหาร เราไม่อยากที่จะบ่นหรืออะไรทำนองนั้น สิ่งต่างๆ ต้องดำเนินต่อไปแบบนั้น”
“เรามีเวลาเตรียมตัวน่าจะ 2-3 วันที่จะได้มีการซ้อมแบบเต็มรูปแบบ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราได้นักเตะทุกคนที่เราต้องการมาร่วมทีม และผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่าการได้นักเตะทุกคนมาร่วมทีม เราจะมีทีมที่แข็งแกร่ง”
“เราจะไม่มีเวลามากพอในการเตรียมพร้อมสำหรับซูซูกิ คัพ แต่เราจะค่อยๆ ปรับจูนทีมในระหว่างทัวร์นาเมนต์ เพราะจะมีเวลาราว 5 สัปดาห์ ถ้าเราผ่านไปถึงรอบชิงชนะเลิศ และผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่เราต้องมุ่งสมาธิ ไม่ใช่คิดถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว เรื่องเปลี่ยนเกมบางเกมที่มันเป็นไปไม่ได้ เราต้องเชิดหน้าขึ้น และเริ่มต่อสู้ไปด้วยกัน”
“อย่างที่ผมบอกไป ช่วงเวลา 8 ปีของผมในเมืองไทย จะสามารถช่วยผมในการทำความรู้จักนักเตะทุกๆ คน ซึ่งบางคนเคยเป็นนักเตะของผมที่ ทรู แบ็งค็อก ยูไนเต็ด หรือก่อนหน้านั้นอย่าง อาร์มี่ ยูไนเต็ด และ สุพรรณบุรี เอฟซี แน่นอนการที่ผมไม่เคยสัมผัสแชมป์ได้เลยเรื่องเสียงวิจารณ์ ผมเข้าใจเรื่องนั้นนะ ผมให้ความเคารพและผมรู้สิ่งที่แฟนบอลต้องการ”
“บางคนอาจไม่พอใจตอนที่ผมได้รับการแต่งตั้ง และเรื่องที่คุณถามว่าผมไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลย ผมเข้าใจเรื่องนั้น ผมแค่อยากพยายามที่จะอธิบายว่าผมเป็นคนแรกที่ผลักดันตัวเองเพื่อชัยชนะ เพราะในท้ายที่สุดเราจะถูกตัดสินด้วยเรื่องแชมป์ในระหว่างที่เราทำงาน สิ่งที่ผมบอกคุณได้คือผมรักงานนี้ ผมเป็นคนทำงานหนัก และใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อทำให้ตัวเองดีขึ้น”
“อย่าลืมว่าตอนที่ผมเข้ามาคุมทีม ทรู แบ็งค็อก ยูไนเต็ด ทีมกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้น และผมภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่นำพาทีมไปอยู่ในจุดที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ และเรื่องนั้นสำหรับผมแล้วถือเป็นชัยชนะอย่างหนึ่ง ขณะเดียวกันผมเข้าใจว่าแฟนบอลอาจคิดว่ามันเป็นปัญหา สิ่งเดียวที่ผมทุ่มสมาธิให้คือการที่ผมเป็นเฮดโค้ช เป็นคนตัดสินใจ มีคนเลือกโอกาสนั้นให้กับผม และผมยินดีรับมาด้วยความพยายามที่จะทำให้ดีที่สุด”
“บางทีในอีก 2-3 สัปดาห์ เราอาจผ่านเข้าถึงรอบชิงฯ สู้เพื่อคว้าแชมป์มาครอง มันคงจะเป็นงานที่ยอดเยี่ยมมากๆ เพราะจะไม่มีใครมาบอกว่าผมไม่เคยคว้าแชมป์ได้อีก เพราะฉะนั้นผมมีความสุข ผมคิดว่าเรามีโอกาสที่ดี เรามีนักเตะที่ดี เรามีประวัติที่ดีในรายการนี้”