ฟังอีกมุม เสี่ยเต็นท์รถ ยัน ไม่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ อดีตกิ๊กสาว เปิดสาเหตุให้เงินเป็นจำนวนมาก มีหลักฐานแน่น ด้าน ญาติฝ่ายหญิง ออกโรงแฉวีรกรรมซ้ำ
จากกรณี น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 37 ปี ร้องศูนย์ดำรงธรรมอำเภอนางรอง ว่าถูก เสี่ยเต็นท์รถ ใน อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ฟ้องร้องตนเองกับแม่ที่ป่วยจิตเวชฐานฉ้อโกงเงินกว่า 15 ล้านบาท จนกระทั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินตัวเองกับแม่มีความผิดและมีโทษจำคุกคนละ 5 ปี ทั้งที่เงินดังกล่าวที่เสี่ยฟ้องเป็นการให้ด้วยความเสน่หา เนื่องจากเสี่ยมีความสัมพันธ์กับตนเองลึกซึ้งฉันสามีภรรยามานานหลายปี แต่กลับถูกฟ้องร้องอย่างไม่เป็นธรรม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น อ่านข่าว : อดีตกิ๊กสาว ร้อง ถูกเสี่ยเต็นท์รถ ฟ้องเรียกค่าเปย์คืน15ล้าน-แม่ติดคุก5ปี หลังเมียจับได้
ล่าสุดวันที่ 14 พ.ย.2564 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบ นายบี (นามสมมติ) ซึ่งเป็น เสี่ยเต็นท์รถ ที่ถูก น.ส.เอกล่าวหาว่าทำเกินกว่าเหตุจนสร้างความเดือดร้อนให้กับสองแม่ลูก โดย นายบี กล่าวว่า เบื้องต้นตนไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับน.ส.เอมาก่อน และแม่ของน.ส.เอไม่ได้ป่วยเป็นจิตเวช เพราะตอนนั้นทั้งสองคนมากู้ยืมเงินและเซ็นเอกสารรับสภาพทุกครั้งที่มาเอาเงิน มีทั้งโอน และมาเอาเงินสด
นายบี กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ให้เงินไปเป็นจำนวนมาก เพราะน.ส.เอกับแม่อ้างว่า จะมีเงินมาจากต่างประเทศและจะเปิดบริษัทใหญ่ ตนจึงทำหลักฐานไว้อย่างแน่นหนา สุดท้ายก็เป็นจริงคือฉ้อโกงเงินของตนไป ทั้งนี้ ตนทำทุกอย่างตามกระบวนการของกฎหมาย ไม่ได้มีการกลั่นแกล้ง ศาลเขามองเห็นพยานและหลักฐานชัดเจน จึงตัดสินให้ทั้งแม่ทั้งลูกมีความผิดตามคำฟ้องจึงตัดสินให้จำคุกดังกล่าว
“ส่วนกรณีที่ น.ส.เอ ไปร้องศูนย์ดำรงธรรมและร้องสื่อมวลชน ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะเป็นเชือกสุดท้ายที่ น.ส.เอ จะสู้เพื่อให้ตัวเองหลุด เนื่องจากศาลฎีกานัดอ่านคำพิพากษาครั้งสุดท้ายในวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งศาลฎีกาได้ยืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์คือ จำคุกสองแม่ลูกคนละ 5 ปี เนื่องจากไม่มีเงินมาชำระตามคำฟ้องดังกล่าว ยืนยันไม่เคยกลั่นแกล้ง และไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งตามที่ น.ส.เอกล่าวอ้าง ตรงกันข้ามกลุ่มนี้เป็นพวก 18 มงกุฎมากกว่า” นายบี กล่าว
จากนั้น ผู้สื่อข่าวเดินทางไปสอบถามญาติของ น.ส.เอ พบ นายสูตร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 85 ปี มีศักดิ์เป็นญาติของ น.ส.เอ กล่าวว่า เมื่อพ.ศ.2547 น.ส.เอเคยมาขอยืมโฉนดที่ดิน 10 ไร่ของตน โดยบอกว่า จะเอาไปเข้าไฟแนนซ์เพื่อเอาเงินออกมาลงทุน ตนก็ให้ไปเพราะเห็นว่าเป็นหลาน โดยจำได้ว่าเป็นเงินประมาณ 300,000 บาท แต่หลานสาวไม่เคยส่งดอกให้กับบริษัทและไม่เคยไปชำระเงินใด ๆ ทั้งสิ้น จนบริษัททักทวงมาหลายครั้ง สุดท้ายบริษัทฟ้องและถูกยึดที่นาไป 10 ไร่
นายสูตร กล่าวต่อว่า ตอนนั้นยอมรับว่าเสียใจมากเพราะมีที่นาผืนเดียว จึงตัดสินใจไปบวชพระเพื่อล้างซวยและไม่อยากเห็นหน้าหลาน เนื่องจากเกรงจะทำใจไม่ได้ และเพิ่งสึกออกมาเมื่อไม่นานมานี้เอง รวมไปบวชพระทั้งหมด 17 พรรษา ส่วนกรณีของเสี่ยเต็นท์รถนั้น ตนไม่ทราบเรื่องและไม่อยากรับฟัง อีกทั้ง ไม่อยากกล่าวหาหลานในเรื่องที่ตนไม่เห็นด้วย แต่เรื่องของตนกับหลานยอมรับเป็นเรื่องจริง