พ่อพาลูกสาววัย 18 แจ้งความเอาผิดหมอ หลังผ่าตัดไส้ติ่งแล้วพิการ ขาไร้เรี่ยวแรง ต้องการให้รับผิดชอบมากกว่าทำกายภาพ
(25 ก.ย.64) เมื่อเวลา 15.30 น. นายพีรพล อายุ 42 ปี บิดาของผู้เสียหาย พร้อมด้วย นายเกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ทนายความ ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.สำโรงใต้ สมุทรปราการ เพื่อเข้าแจ้งความร้องทุกข์ เกี่ยวกับกรณีที่ลูกสาววัย 18 ปี ของผู้เสียหายได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในย่านถนนปู่เจ้าสมิงพราย อ.พระประแดง จ.สมุทรปาการ ด้วยอาการไส้ติ่งอักเสบ หลังแพทย์ได้ให้การตรวจและพบว่าต้องผ่าตัดเอาไส้ติ่ง แต่หลังจากที่แพทย์โรงพยาบาลดังกล่าวทำการบล็อกหลังและผ่าตัดไส้ติ่งให้บุตรสาวของผู้เสียหายให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าบุตรสาวของผู้เสียหลับกลายเป็นคนพิการ ขาไร้เรี่ยวแรงเดินไปไหนมาไหนเองไม่ได้ต้องใช้ไม้คอก 4 ขาช่วยค้ำยัน แต่แพทย์ของโรงพยาบาลดังกล่าวกลับปัดความรับผิดชอบ อ้างช่วยได้แค่กายภาพเท่านั้น ทั้งที่เป็นความผิดพลาดที่เกิดจากการผ่าตัดของแพทย์โรงพยาบาลดังกล่าว
นายพีรพล บิดาของผู้เสียหาย ได้กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 กันยายน ที่ผ่านมาลูกสาวตนได้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ตนก็เลยพามาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในย่านถนนปู่เจ้าสมิงพราย และหมอได้วินิฉัยว่าน่าจะเป็นไส้ติ่ง จึงลงความเห็นให้นอนโรงพยาบาล เนื่องจากบุตรของตนได้ตั้งครรภ์ด้วยจึงต้องทำการอัลตร้าซาวน์ หลังจากที่แพทย์ได้ลงความเห็นว่าต้องผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกโดยแพทย์ได้บอกว่าวิธีการผ่าตัดต้องใช้วิธีการบล็อกหลัง และหลังจากที่ลูกสาวตนฟื้นขึ้นมาหลังผ่าตัดขาข้างซ้ายกลับไม่มีแรง และมีอาการชาไปข้างหนึ่งและปัสสาวะไม่ได้ ซึ่งทางหมอมาบอกแค่ว่าให้รอดู 24 ซั่วโมงก่อนเพราะยายังไม่หมดฤทธิ์
หลังจากที่ผ่านมา 1 วัน อาการก็ยังไม่หาย หมอยังมาบอกอีกว่า ยาชาจากการบล็อกหลังมันลงไม่เท่ากัน ข้างซ้ายและข้างขวาลงขาไม่เท่ากันก็เป็นไปได้ และให้กินวิตามินบี โดยอ้างว่าเส้นอักเสบ และอาการก็จะดีขึ้นมาตามลำดับ เวลาผ่านไปหลายวันอาการก็เริ่มไม่ดี ก็เลยเข้าพบหมออีกครั้งก็ได้รับคำตอบว่าต้องกายภาพอีก 1 เดือน และถ้า 1 เดือนยังไม่หายก็ต้องเป็น 6 เดือน ซึ่งตลอดเวลาที่มีการพูดคุยกันกับหมอก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีใครจะมารับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือแนวทางการรักษาที่แน่ชัด ซึ่งก็มีคุณหมอท่านหนึ่งบอกว่าน่าจะเกิดจากการผ่าตัดหน้าท้องซึ่งอาจไปเกี่ยวพันกับเส้นที่มีมากมาย ซึ่งหมอเองก็ยังบอกว่า ตนเองก็เคยบล็อกหลังมาผ่าคลอดมาก็เลยชาไป 2 ปี อันนี้คือหมอท่านแรกที่บอก ส่วนคุณหมออีกท่านบอกว่าเป็นที่เส้นอักเสบแค่ไม่ได้เกี่ยวกับเส้นประสาท ซึ่งพูดไม่เหมือนกันสักคน ทำให้ตนไม่ไว้วางใจและไม่ได้ดูแลเรา
แต่ยังทำการกายภาพบำบัดให้ก่อนที่จะให้ออกจากโรงพยาบาล ซึ่งเราเองก็ยังไม่รู้ว่าลูกของเราจะหายเมื่อไหร่ เขาไม่เคยพูดหรือทำให้เราเข้าใจเลย เขาพูดแค่คำเดียวว่า ไม่รู้ว่าจะตอนไหน แต่ก็จะรักษาและดูแลให้ ซึ่งตนคิดว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่มีความรับผิดชอบมากกว่านี้ และเขายังพูดอีกว่าเขาไม่เคยเจอเคสในลักษณะแบบนี้ น่าจะให้ยาเยอะในขณะที่บล็อกหลัง ส่วนหมอที่บล็อกหลังกลับพูดว่าน่าจะเกิดจากการผ่าตัดแล้วเส้นหน้าท้องมันเยอะจึงทำให้ไปโดนเส้นหรืออะไรแบบนี้ พอภรรยาเข้าไปคุยก็เริ่มให้มีการกระตุ้นไฟฟ้า ซึ่งก่อนหน้าทำให้แค่ยืดขาแค่ทำกายภาพเท่านั้นและให้ทานวิตามินบีเกี่ยวกับอาการอย่างเดียว ตนเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงเข้าร้องขอความเป็นธรรมจากทนายเกรียงศักดิ์ เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับครอบครัวตน
นายเกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ทนายความ ได้กล่าวว่า วันนี้ได้พาบิดาของผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่ง ซึ่งคดีทางแพ่งค่อนข้างชัดเจน แต่อาญานั้นเราต้องดูก่อนว่าเป็นการประมาทอย่างไรบ้าง เพราะตอนที่ผู้เสียหายเข้าโรงพยาบาลเดินเข้ามาสองขา แต่พอกลับออกไปกลายเป็นคนเดินเองไม่ได้ ซึ่งทางผู้เสียหายเองก็ยังเป็นเยาวชนและกำลังเรียนอยู่ด้วย ซึ่งในเรื่องที่เกิดขึ้นทางหมอกลับโยนกันไปมาและไม่มีความรับผิดชอบที่กระจ่าง ว่าจะดูแลรักษาให้แบบไหน เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นจากาการผิดปกติจากการผ่าตัด เป็นการละเมิดของหมอ วันนี้ก็เลยมาแจ้งความดำเนินคดีและจะเดินหน้าฟ้องร้องเรียกความเป็นธรรมให้แก่ผู้เสียหาย เพื่อให้ทางโรงพยาบาลออกมาแสดงความรับผิดชอบ