พี่สาวหลั่งน้ำตา 20 ปี! ถูกน้องแท้ๆ ปลอมเอกสารกู้เงิน ยึดที่นา อาศัยข้าวเพื่อนบ้านกิน

Home » พี่สาวหลั่งน้ำตา 20 ปี! ถูกน้องแท้ๆ ปลอมเอกสารกู้เงิน ยึดที่นา อาศัยข้าวเพื่อนบ้านกิน


พี่สาวหลั่งน้ำตา 20 ปี! ถูกน้องแท้ๆ ปลอมเอกสารกู้เงิน ยึดที่นา อาศัยข้าวเพื่อนบ้านกิน

พี่สาววัย 76 ปี หลั่งน้ำตา 20 ปี ถูกน้องแท้ๆ อดีตผู้ใหญ่บ้าน ปลอมเอกสารกู้เงิน อ้างใช้หนี้แทนพี่ ยึดที่นากว่า 10 ไร่ไปทำกิน วิ่งเต้น 20 ปี ไม่มีใครช่วยได้

เมื่อวันที่ 23 พ.ค.66 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านที่ ต.วังเหนือ อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ ว่า มีคนในหมู่บ้านถูกครอบครัวเดียวกันยึดที่นา จนไม่มีข้าวกิน เพราะน้องชายไม่ยอมแบ่งข้าวที่ทำนาได้มาให้ ผู้สื่อข่าวจึงลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบพบว่าชาวบ้านที่ร้องเรียนคือ นางทองพูน อายุ76ปี ชาว ต.วังเหนือ อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ ยายที่ชาวบ้านร้องสื่อ เพื่อขอความช่วยเหลือ

นางทองพูน เล่าว่า ตนมีพี่น้องด้วยกัน 4 คน ก่อนหน้านี้เมื่อกว่า 30 ปีที่ผ่านมา ตนไปอยู่กับสามีที่ จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อปี 2545 สามีเสียชีวิต จึงกลับมาอยู่บ้านที่บุรีรัมย์ หวังจะไปทำนาของตัวเองที่พ่อแม่แบ่งไว้ให้ พอมาถึงที่บุรีรัมย์ไปอาศัยอยู่บ้านลูกสาวที่มีแฟนเป็นชาวต่างชาติปลูกไว้ให้ แล้วหายตัวไป ไม่สามารถติดต่อลูกสาวได้อีก มาจนถึงปัจจุบัน

พอไปถามน้องชายคนเล็ก ตอนนี้อายุ 64 ปี เป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านว่า จะเข้าไปทำกินที่นาของตัวเองจำนวน 10 ไร่ ที่น้องชายเคยขอทำกินตอนที่ตนไปอยู่กับสามีที่ จ.ฉะเชิงเทรา แต่กลับได้รับคำตอบว่า “ไม่ได้” โดยอ้างว่า ไปใช้หนี้แทนตัวเองที่ไปกู้ยืมมาจำนวน 60,000 บาท เมื่อปี 2530 จึงขอยึดเอาที่ไว้

นางทองพูน เล่าทั้งน้ำตาว่า หลังจากน้องชายบอกว่า ตนไปกู้เงิน 60,000 บาทจากนายทุนมา ตนตกใจ เพราะไม่เคยไปกู้ยืมเงินใคร เมื่อถามถึงหลักฐานการกู้เงิน น้องชายเอาเอกสารมาให้ดูพบว่า เป็นสัญญากู้ยืมเงินจริง แต่ไม่ใช่ลายมือของตน

“หลังจากนั้นมาเข้าร้องที่ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อต้องการไกล่เกลี่ยกับน้องชาย หวังอยากได้ที่นามาส่วนหนึ่งเพื่อเอาไว้ทำกิน แต่น้องชายไม่ยอม โดยศูนย์ดำรงธรรมให้คำตอบว่าทำไม่ได้ เพราะหลักฐานที่ดินเป็นสค.1 น้องชายครอบครองมานานกว่า 20 ปีแล้ว” นางทองพูน กล่าว

นางทองพูน กล่าวต่อว่า ตอนนี้ต้องเลี้ยงหลาน 4 คน รวมกับตน 5 ชีวิตในครอบครัว อยู่ด้วยความลำบาก เบี้ยคนชราไม่พอเลี้ยงหลาน มีชาวบ้านเห็นใจเอาข้าวสารมาให้บ้าง พอประทังชีวิต

“สุดท้ายตัดสินใจจะเข้าไปแจ้งความดำเนินคดีกับน้องชาย ฐานปลอมเอกสาร แต่ตำรวจยืนยันว่า ถ้าแจ้งความไม่สามารถยอมความกันได้ เพราะเป็นความอาญาแผ่นดิน จึงกลับมาคิดที่บ้านว่า จะเอาอย่างไรดี หากไม่แจ้งความตัวเองกับหลานคนจะลำบากต่อไปอีก แต่ถ้าแจ้งความน้องชายติดคุก จึงอยากจะถามสังคมว่า ตนควรจะทำอย่างไรดี” นางทองพูน กล่าว

ด้าน น.ส.สำรวย จรัสรัมย์ อายุ 54 ปี ชาวบ้านในหมู่บ้าน กล่าวว่า ชาวบ้านเห็นสภาพครอบครัวนางทองพูน มานานรับรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ทำได้เพียงเอาข้าวหรือกับข้าวไปให้บ้าง ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นใจ ที่น้องชายทำกับพี่สาวแบบนี้

 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ