พนง.สาวญี่ปุ่นโดนไล่ออก เหตุผสมเลือดตัวเองในเครื่องดื่ม ตามคำขอของลูกค้า คาเฟ่เผยทำความสะอาดและเปลี่ยนแก้วใหม่แล้ว

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน พนักงานเสิร์ฟสาวชาวญี่ปุ่นถูกไล่ออกจากร้านอาหาร หลังพบว่า เธอแอบผสมเลือดของตัวเองลงในค็อกเทลให้ลูกค้าดื่มตามคำร้องขอของลูกค้าที่จ่ายเงิน

ตามรายงาน ร้าน Mondaiji Con Cafe Daku (Problem Child Dark Cafe) ตั้งอยู่ในย่านบันเทิงซูซูกิโนะ ในเมืองซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น เปิดครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 มีนาคม โดยหวังว่าจะดึงดูดลูกค้าที่ยอมจ่ายเงิน 2,500 เยน (ราว 645 บาท) เพื่อดื่มทุกอย่างที่พวกเขาต้องการได้ไม่อั้นด้วยพนักงานเสิร์ฟแต่งตัวแบบโกธิค สวมเสื้อผ้าสีเข้มและแต่งหน้า

แถมคาเฟ่แห่งนี้ยังโฆษณาตัวเองบนทวิตเตอร์ว่า คาเฟ่เป็นพื้นที่สำหรับสาว (รับบทบาท) จิตใจไม่ปกติ อารมณ์ผันผวนง่าย และเป็นเด็กมีปัญหาในสไตล์น่ารักที่สุดเพื่อให้บริการลูกค้า ทว่าความคิดนั้นกลับตาลปัตร เมื่อพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งทุ่มเทกับบทบาทของเธอมากเกินไป โดยทำการเติมเลือดของตนเองลงในเครื่องดื่มที่เรียกว่า โอริคาคุ หรือค็อกเทลดั้งเดิมมักประกอบด้วยผลไม้หรือน้ำเชื่อมหลากสี ตามที่ลูกค้าร้องขอ

อย่างไรก็ตาม คาเฟ่ไล่พนักงานสาวออกทันทีที่ฝ่ายบริหารทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว และขอโทษลูกค้า โดยอธิบายการกระทำที่อันตรายของอดีตพนักงานว่าเป็น ‘การก่อการร้ายเวลางาน และเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้’ พร้อม ทวีตข้อความ ขอโทษลูกค้าสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังออกมาแจงว่า ทางร้านคาเฟ่ขอปิดกิจการเป็นเวลาหนึ่งวันเพื่อทำความสะอาดร้าน เปลี่ยนแก้วใหม่ และทิ้งขวดแอลกอฮอล์ที่อาจปนเปื้อน

ดร. เซนโต คิตาโอะ กล่าวกับเว็บไซต์ข่าวแฟลชของญี่ปุ่นว่า “การดื่มเลือดของผู้อื่นถือเป็นการกระทำที่อันตรายอย่างยิ่ง” โดยแนะนำทั้งพนักงานเสิร์ฟและผู้มีอุปการะคุณซึ่งรายงานว่าขอเลือดของเธอไปตรวจหาโรคที่มากับเลือดทุกชนิด

“กรณีของผู้ที่ติดเชื้อจากการดื่มเลือดของผู้อื่นนั้นพบได้ไม่บ่อยนัก แต่โรคที่สำคัญสามารถติดต่อทางเลือดได้ เช่น เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบซี ไวรัสตับอักเสบบี และซิฟิลิส หากมีบาดแผลในปาก ก็มีโอกาสติดเชื้อทางเลือดได้ง่าย” ดร. เซนโตกล่าวเสริม

นับตั้งแต่เรื่องราวดังกล่าวถูกแชร์ลงบนโลกออนไลน์ ชาวเน็ตบางคนตำหนิคาเฟ่ที่โฆษณาว่า คาแร็กเตอร์ของพนักงาน คือ ความไม่มั่นคงทางจิตใจและไล่ออกเพราะกระทำตามใจลูกค้า ซึ่งบางคนเอ่ยว่าพนักงานควรได้รับคำชมเชยที่ทุ่มเทหยาดเหงื่อและน้ำตาให้กับการทำงานขนาดนี้

ขอบคุณที่มาจาก Nypost