‘ปารีณา’ อ่วม ‘อัยการ’ สั่งฟ้อง คดีฟาร์มไก่รุกป่าสงวน ผิด กม. 4 ฉบับ โทษหนัก คุก 30 ปี ขั้นตอนอยู่ระหว่างเสนอสำนวนต่ออธิบดีอัยการภาค 7
วันที่ 7 ก.ย.65 ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการที่ดิน (กมธ.) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มี นาย อภิชาติ ศิริสุนทร เป็นประธานกมธ.ฯ ที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ตามที่ กมธ.ฯ ทำหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา นายธงชัย ศรีสวัสดิ์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการภาค 7 รักษาการในตำแหน่งอัยการ จ.ราชบุรี ตอบกลับหนังสือถึง นาย อภิชาติ ศิริสุนทร โดยมีใจความว่า ตามที่ท่านได้ทำหนังสือถึงอัยการสูงสุด ขอทราบผลการดำเนินคดี น.ส.ปารีณา ผู้ต้องหา ในสำนวนคดีอาญาที่ 448/2562 ของสถานีตำรวจภูธรจอมบึง คดีอาญาที่ 1/2563 ตามที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำการสอบสวนเพิ่มเติม และส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ จ.ราชบุรี พิจารณาแล้ว เพื่อประกอบการพิจารณานั้น
สำนักงานอัยการ จ.ราชบุรี ได้รับสำนวนการสอบสวนของ สภ.จอมบึง และสำนวนการสอบสวนของกองบังคับการตำรวจปราบปรามฯ เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2564
ต่อมา น.ส.ปารีณา ได้ร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการ จ.ราชบุรี อธิบดีอัยการภาค 7 และอัยการสูงสุด หลายครั้งต่างวันเวลากัน สำนักงานอัยการ จ.ราชบุรี ได้ตั้งองค์คณะร่วมกันพิจารณาสำนวนเพื่อให้เกิดความละเอียดรอบคอบ และเป็นธรรม และดำเนินการสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมตามประเด็นในหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหา ซึ่งในขณะนี้ได้รับผลการสอบสวนเพิ่มเติมจากพนักงานสวบสวนครบถ้วนแล้ว
องค์คณะได้ร่วมกันพิจารณาเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 สำนวน ฐานความผิด ร่วมกันยึดถือครอบครองทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง เผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ โดยกระทำเป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต
ร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกิน 25 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
ร่วมกันเข้ายึดถือ ครอบครอง รวมตลอดถึงก่อสร้างหรือเผาป่า กระทำด้วยประการใด ให้เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดิน ที่หิน ที่กรวด หรือที่ทราย ในบริเวณที่รัฐมนตรีประกาศหวงห้ามในราชกิจจานุเบกษา หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเป็นอันตรายแก่ทรัพยากรในที่ดิน โดยได้กระทำเป็นเนื้อที่เกินกว่า 50 ไร่ โดยไม่ได้รับอนุญาต
ร่วมกันประกอบกิจการน้ำบาดาล ในเขตน้ำบาดาลใดๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีสิทธิ หรือสิทธิครอบครองที่ดิน ในเขตน้ำบาดาลโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 มาตรา 4,5,6, 8,9,14, 26/4,26/5,31,35 ที่แก้ไขแล้ว กฎกระทรวงฉบับที่ 1,069 (2527) ออกตามความใน พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ 2507 ลงวันที่ 12 ก.ย. 2527 ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงเขตตำบลในท้องที่อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ลงวันที่ 27 ก.ค. 2531
พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 มาตรา 4,54,55,72 ตรี,74 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 1,8,9,108 ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 ก.พ.2515 ข้อ 11 พ.ร.บ.น้ำบาดาล 2520 มาตรา 3,5,16,36 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33,83,91 ที่แก้ไขแล้ว
ขณะนี้อยู่ในระหว่างเสนอสำนวนต่ออธิบดีอัยการภาค 7 พิจารณาตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ 2563 ข้อ 42 (กรณีคดีสำคัญ)
ทั้งนี้รายงานข่าวจาก กมธ.แจ้งว่า สำหรับความผิดตามของ น.ส.ปารีณา เป็นการทำความผิดตามกฎหมายหลัก 4 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ 2507 พ.ร.บ.น้ำบาดาล 2520 และ พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายที่ดินฯ ทั้งนี้เฉพาะในส่วนความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ 2484 พ.ร.บ.ป่าไม้ 2507 ในกรณีบุกรุก เนื้อที่เกินกว่า 25 ไร่ มีโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 10-20 ปี โทษปรับ 2 แสน-2 ล้านบาท โดยหากรวมความผิดทุกกระทง น.ส.ปารีณาอาจมีโทษจำคุกถึง 30 ปี