ปลัดเก่ง ในฐานะไวยาวัจกรวัดราชบพิธ โต้ข่าวปลด สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ชี้อยู่ครบวาระมส.แล้ว แต่ยังทำหน้าที่ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชเหมือนเดิม
เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2564 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะไวยาวัจกรวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ผมเป็นคนบ้านนอกเกิดและโตมาจากแหลมงอบ จ.ตราด หลายๆท่านคงทราบดีว่าผมเรียนโรงเรียนวัดแหลมงอบ (นิเทศอุปถัมภ์) ซึ่งเป็นสมณศักดิ์ของหลวงพ่อหนิว หรือพระครูนิเทศธรรมยาน เจ้าอาวาสวัดที่สร้างและอุปถัมภ์โรงเรียนมาแต่แรกเริ่มมีโรงเรียน ถูกสอนให้เคารพกราบไหว้พระสงฆ์ เดินสวนก็ต้องนั่งยองไหว้ ตอนเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ปี2526 เดินสวนพระและนั่งยองไหว้ก็ดูแปลกๆในความรู้สึกของตัวเอง ที่เห็นคนอื่นๆเขาเดินสวนไปมาเฉยๆ สักพักใหญ่เลยแค่ยืนไหว้ มาจนปัจจุบัน
เมื่อเรียนจบทำงานเป็นปลัดอำเภอ เป็นประจำแผนก จนได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นรองปลัดกระทรวง เป็นอธิบดี และปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวง ก็ได้พึ่งพาอาศัยพระ อาศัยวัด ช่วยเหลือให้การทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม และส่วนตัวเสมอมา การบำเพ็ญกุศลศพปู่ ย่า ตา ยาย พ่อแม่ ผมก็ได้วัดได้พระท่านเมตตาช่วยเหลือให้ทุกข์ทางใจได้หดหายไปได้
ยิ่งสำหรับพระวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สำหรับผมยิ่งใกล้ชิดเนื่องจากชีวิตรับราชการอยู่ที่ส่วนกลางนานกว่าอยู่ต่างจังหวัด แล้วกระทรวงมหาดไทยอยู่ข้างวัด นับแต่ปี 2534 ผมเข้าออกวัดเกือบทุกวันทั้งตอนเช้า ตอนพักเที่ยงและตอนเย็น โดยเฉพาะศาลา 100 ปี ที่เมื่อก่อนเป็นสำนักงานของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ (วาสน์)
ซึ่งสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เป็นพระเลขาฯสนองงานพระองค์ท่าน สมเด็จพระสังฆราช องค์ปัจจุบันก็อยู่ที่วัดจนได้คุ้นเคยรักและเมตตาผมมาก โดยช่วงปีสองปีก่อนที่ผมจะได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย สมเด็จพระสังฆราชท่านมีพระเมตตาประทานพรให้ผมทุกครั้งว่า ขอให้ได้เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย นับรวมแล้วเกิน 20 ครั้ง แถมยังทรงมีพระเมตตาแต่งตั้งให้ผมเป็นไวยาวัจกรวัดราชบพิธ อีกด้วย
แต่ที่คุ้นเคยมากสุดในวัด ตั้งแต่2535 จนปัจจุบัน คือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ตั้งแต่ดำรงสมณศักดิ์พระเทะวรเมธี แต่พวกเราเรียกท่านว่าเจ้าคุณชิน เพราะท่านเป็นกำลังหลักของวัด และคณะสงฆ์
ท่านเป็นพระที่ดีแน่นอน เป็นพระที่ขยันทำงานมาก จนพวกเราลูกศิษย์ลูกหา คนรู้จักบ่นกัน อีกเรื่องคือ ความรักชอบในการอ่านหนังสือมาก จนกุฏิ ห้องทำงานมีแต่หนังสือ ช่วง 2 สัปดาห์นี้มีข่าวพาดพิงถึงท่านว่า ถูกปลดออกจากตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม จากเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง
กรณีตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคมนั้น มีวาระ 2 ปี ซึ่งสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ดำรงตำแหน่งมา 10 วาระแล้ว มาบัดนี้ ครบวาระ 2 ปี ของสมัยที่ 10 คำว่าครบวาระ คือ หมดตามเวลาที่กำหนด เหมือน ส.ส. มีวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ครบ 4 ปี ก็หมดวาระ ไม่ได้ถูกปลด ถ้าสนใจจะเป็นต่อตามกฎหมายก็ต้องไปสมัครรับเลือกตั้งให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งใหม่ ไม่ได้รับเลือกตั้งก็ไม่ได้เป็น ส.ส.
กรรมการมหาเถรสมาคม ก็มี พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติมถึงล่าสุดปี 2561 กำหนดแนวทางไว้ในเรื่องกรรมการมหาเถระ การนำไปเขียนนำไปพูดว่าถูกปลด ซึ่งปกติใช้กับคนที่ดำรงตำแหน่งทำผิดแล้วถูกลงโทษปลดออก จึงไม่ถูกต้อง
แถมยังลามปามไปถึงการระบุว่า ถูกปลดจากตำแหน่งเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชด้วย ซึ่งก็ไม่จริงเช่นกัน เพราะเรื่องการดำรงตำแหน่งเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชไม่เกี่ยวข้องกับวาระของกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นไปตามพระประสงค์ของสมเด็จพระสังฆราช ที่จะทรงตั้งพระที่ท่านไว้วางพระทัยให้ทำหน้าที่สนองงานของท่าน ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชยังคงมีพระเมตตาให้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์สนองงานในฐานะลูกศิษย์ ฐานะพระลูกวัด และฐานะพระเลขานุการ อยู่เหมือนเดิม มิเคยเปลี่ยนแปลง
ที่เล่ามานี้ เพราะไม่อยากให้เกิดบาปกรรมกับปากที่เราคุยกันตามข่าวลือ หรือเกิดบาปเพราะใจเราไปคิดไปเชื่อข่าวลือเรื่องเกี่ยวกับพระสงฆ์องคเจ้า ซึ่งพ่อแม่ปูย่าย่าตายายของผมที่แหลมงอบ ตราด ได้ห้ามไว้นักหนาว่าอย่าไปวิพากษ์วิจารณ์จะเป็นบาปเป็นกรรมกับชีวิตเรา พูดถึงพระที่ดีในทางที่ดีจะมีประโยชน์มากกว่า