‘ประวัติท้าวทองกีบม้า’ สาวผัวเดียว ที่ยอมอยู่อย่างทาส ดีกว่าเป็นสนม

Home » ‘ประวัติท้าวทองกีบม้า’ สาวผัวเดียว ที่ยอมอยู่อย่างทาส ดีกว่าเป็นสนม
ท้าวทองกีบม้า-min

เปิดประวัติ ท้าวทองกีบม้า หนึ่งตัวละครสำคัญในเรื่อง พรหมลิขิต เปิดสาเหตุทำไมนางจึงไม่ยอมตกเป็นสนมของ พระเจ้าเสือ

เรียกได้ว่ารอคอยกันมาอย่างยาวนานสำหรับตำนาน แม่นายการะเกด กับ คุณพี่หมื่น ที่เคยสร้างกระแส ออเจ้า ไปทั่วบ้านทั่วเมืองกับละครแห่งยุคอย่าง บุพเพสันนิวาส และเมื่อคืนนี้ 18 ตุลาคม 2566 หลังจากที่ละครภาคต่อที่ทุกคนรอคอยอย่างเรื่อง พรหมลิขิต ได้ออนแอร์เป็นตอนแรก แฟนละครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วันพุธ-พฤหัสบดี แห่งชาติได้กลับมาแล้ว เพียงแค่ตอนแรกเนื้อเรื่องก็สนุกและน่าติดตามเป็นอย่างมาก

ละครเรื่อง พรหมลิขิต ในภาคนี้ ก็ได้พระนางตัวละครหลักอย่าง โป๊ป ธนวรรธน์ และ เบลล่า ราณี มารับบทแบบที่เรียกว่าเล่นจนคุ้มค่าตัว เพราะอย่างหนุ่มโป๊ป ก็ได้รับบทเป็นตัวละครถึงสามตัวไม่ว่าจะเป็น ออกญาวิสูตรสาคร (พ่อเดช),หมื่นณรงค์ราชฤทธา (พ่อเรืองเล็ก) และหมื่นมหาฤทธิ์ (พ่อริด) ส่วนสาวเบลล่า นั้นก็ได้รับบทเป็น พุดตาน,คุณหญิงการะเกด และเกศสุรางค์ นอกจากนั้นยังมีตัวละครลับที่ขนมากันทั้งช่อง 3 ซึ่งนอกจากเรื่องราวความรักข้ามภพชาติที่น่าติดตามแล้ว ทั้ง บุพเพสันนิวาส และ พรหมลิขิต ต่างก็เป็นละครซอฟพาวเวอร์ ที่จะเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ในสมัยอยุธยา

และในตอนแรกที่ได้ออนแอร์ไปทางผู้จัดนั้นได้นำเสนอ เส้นเรื่องของอีกหนึ่งตัวละครหลักที่สำคัญไม่แพ้คู่พระนางอย่าง ท้าวทองกีบม้า หรือแม่มะลิ (นำแสดงโดย ซูซี่ สุษิรา แน่นหนา) เพื่อนรักของ แม่นางการะเกด โดยเป็นฉากที่ หลวงสรศักดิ์ หรือ พระเจ้าเสือ (นำแสดงโดย ก๊อต จิรายุ ตันตระกูล) นั้นได้เข้าไปในบ้านของ ท้าวทองกีบม้า เพื่อนำตัวนางไปเป็นสนมและริบทรัพย์สินของ คอนสแตนติน ฟอลคอน (นำแสดงโดย หลุยส์ สก็อต) สามีเก่าที่โดนประหารไปในภาคที่แล้ว

ซึ่งความน่าสนใจนั้นอยู่ตรงที่ความใจเด็ดของ ท้าวทองกีบม้า โดย พระเจ้าเสือ ก็ได้คุยกับนางให้นางไปเป็นสนม แต่นางกลับตอบอย่างมั่นใจว่า “ข้าสัญญากับผัวไว้ว่าทั้งชีวิตนี้จะมีเขาเป็นผัวแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น” และเป็นการพูดต่อหน้าบ่าวไพร่พลทหารทั้งหลายด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ พระเจ้าเสือ โกรธเคืองยิ่ง และสั่งให้ทหารนำตัว ท้าวทองกีบม้า ไปไว้ในคุก วันนี้ ทีมข่าวไบรท์ทูเดย์ (Bright Today) จึงขอมาเล่าประวัติของหญิงสาวผู้มีชะตาชีวิตสุดรัดทดอย่าง ท้าวทองกีบม้า ให้ได้รู้กันว่าจะ “จบสวย” แบบที่ คุณหญิงการะเกด กล่าวไว้หรือไม่

ท้าวทองกีบม้า มีชื่อตัวว่า มารีอา กียูมาร์ ดึ ปีญา เรียกกันง่ายๆว่า มารี กีมาร์ ป็นคริสตังเชื้อสายโปรตุเกส, เบงกอล และญี่ปุ่น ซึ่งต้องย้ายถิ่นฐานมาเพราะมีการเบียดเบียนศาสนาในยุคนั้น บรรพบุรุษของนางจึงเดินทางมาที่อยุธยา นางได้เป็นภริยาของ พระยาวิไชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ขุนนางกรีกที่รับราชการในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช หลังจากที่ได้สมรสกับฟอลคอนแล้ว จึงได้ชื่อใหม่ว่า ท้าวทองกีบม้า ซึ่งในการสมรสครั้งนี้ ท้าวทองกีบม้า ไม่ได้พึงใจนัก

นางมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องการทำอาหาร เรื่องในครัวเรือนทุกอย่าง นอกจากนั้นยังเป็นผู้คิดค้นและนำวัฒนธรรมของหวานจากโปรตุเกสมาดัดแปลงจนได้ขนมไทยที่เรากินในปัจจุบัน อาทิ ทองหยิบ, ทองหยอด, ฝอยทอง, ทองม้วน และหม้อแกง จนได้ฉายา “ราชินีแห่งขนมไทย” (แต่บางตำราก็บอกว่าโปรตุเกสเอาขนมนี้มาทำในสยามนานแล้วก่อนที่นางจะเกิดเสียอีก เรื่องนี้จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่านางเป็นผู้คิดค้นหรือไม่)

ชีวิตเริ่มตกอับ

และจากชีวิตที่เหมือนจะสวยหรูของนาง หลังจากที่ได้เป็นภริยาของ พระยาวิไชเยนทร์ ขุนนางคนโปรดของ ขุนหลวงนารายณ์ ก็ต้องดับวูบลงเพราะ พระยาวิไชเยนทร์ ผู้เป็นสามี ถูกตัดสินประหารชีวิตและริบราชบาตรหลังเกิดจลาจลก่อนสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเพียงไม่กี่วัน แต่ด้วยความฉาดของนาง นางจึงได้แอบแบ่งสมบัติไว้ก่อนเป็นสามก้อน ฝากกระจายไว้แต่สุดท้ายก็โดยริบ สมบัติของนางจึงเหลืออยู่น้อยมาก ในบันทึกของ บาทหลวงอาร์ตุส เดอ ลียอน นั้นระบุไว้ว่า

“วันที่ 30 พฤษภาคม เขาได้เรียกตราประจำตำแหน่งของสามีนางคืนไป วันที่ 31 ริบอาวุธ เอกสาร และเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย วันต่อมาได้ตีตราประตูห้องหับทั่วทุกแห่งแล้วจัดยามมาเฝ้าไว้ วันที่ 2 มิถุนายน ขุนนางผู้หนึ่งนำไพร่ 100 คนมาขนเงิน เครื่องแต่งบ้านและจินดาภรณ์ไป”

ด้วยเหตุนี้ ท้าวทองกีบม้า จึงมีสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว นางต้องประสบเคราะห์กรรมและความทุกข์อย่างสาหัส ทั้งยังต้องทนทุกขเวทนากับกับคุมขัง โดยมีบันทึกของบาทหลวงเดอ แบซ กล่าวไว้ว่า “สุภาพสตรีผู้น่าสงสารผู้นั้น ถูกโยนเข้าไปขังไว้ในโรงม้าอันคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นและสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ไม่มีข้าวของติดตัวไปเลย มีแต่ฟากสำหรับนอนเท่านั้น” (ซึ่งเป็นฉากในละครตอนแรกที่เราได้ดูไปนั้นแหละ)

ในพงศาวดารบันทึกไว้ว่า “ฝ่ายภรรยาฟอลคอน ได้ถูกรังแกข่มเหงต่าง ๆ บุตรพระเพทราชาก็เกลียดนัก ด้วยบุตรพระเพทราชาได้ไปเกี้ยวภรรยาฟอลคอน แต่ภรรยาฟอลคอนไม่ยอม บุตรพระเพทราชาจึงเกลียดและขู่จะทำร้ายต่างๆ”

บั้นปลายชีวิต

จากชีวิตในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีการบันทึกอะไรของนางอีก แต่แล้วในปี พ.ศ. 2249 นั้นมีเรื่องราวของนางถูกเขียนไว้อีกครั้ง จดหมายดังกล่าวก็จะพบว่า ขณะนี้นางได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นพนักงานเครื่องต้นในวังแล้ว สอดคล้องกับ ดหมายเหตุฝรั่งเศสโบราณ ที่บันทึกการปฏิบัติหน้าที่ในห้องเครื่องต้นของนาง ความว่า

“ภรรยาของนายคอนสแตนติน เป็นท้าวทองกีบม้าได้เป็นผู้กำกับการชาวเครื่องพนักงานหวาน ท่านท้าวทองกีบม้าผู้นี้เป็นต้นสั่งสอนให้ชาวสยามทำของหวานคือขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอด ขนมทองโปร่ง ทองพลุ ขนมผิง ขนมฝรั่ง ขนมขิง ขนมไข่เต่า ขนมทองม้วน ขนมสัมปันนี ขนมหม้อแกง และสังขยา”

ในบันทึกของเมอซีเยอโชมง (คนละท่านกับเชอวาลีเยเดอโชมง) ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาในปี พ.ศ. 2262-2267 ได้ให้ข้อมูลว่าหลังสิ้นรัชกาลพระเจ้าเสือ ชีวิตของมาดามฟอลคอนได้กลับมาดีขึ้นโดยลำดับ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทรงโปรดเกล้าให้มาดามฟอลคอนเข้ามารับราชการฝ่ายใน

โดยไว้วางพระราชหฤทัยให้นางดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง และเป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และมีสตรีในบังคับบัญชากว่า 2,000 คน ทั้งนี้ท้าวทองกีบม้าปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต คืนเงินสู่ท้องพระคลังปีละครั้งมาก ๆ ทุกปี จนเป็นที่โปรดปรานในองค์พระมหากษัตริย์ รวมทั้งจอร์จ บุตรชายของเธอที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทรงโปรดไว้ใกล้ชิดพระองค์ ดังปรากฏจากบันทึกของเมอซีเยอโชมง ความว่า

“พระเจ้ากรุงสยามได้รับสั่งให้หาจอร์จ บุตรของเมอซีเยอกงส์ต็องส์ แล้วโปรดให้แต่งตัวอย่างดี ๆ และรับสั่งให้นายจอร์จเรียนภาษาไทยเสียให้รู้ ได้โปรดให้เอานายจอร์จไว้ใช้ใกล้ชิดพระองค์ และได้โปรดเป็นครูด้วยพระองค์เอง สอนภาษาไทยให้แก่นายจอร์จ”

ทองกีบม้า
ที่มา : Ch3Thailand , wikipedia

ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่น ๆ

Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ