กลายเป็นเรื่องฉาวสภา กรณีไลน์หลุดนักการเมืองพรรคเล็กร่วมรัฐบาล ได้รับเงินรายเดือน เดือนละนับแสนบาท โดยมีหลักฐานสลิปโอนเงินเข้าบัญชี หลุดออกมา อย่างต่อเนื่อง
กระบวนการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวถือเป็นหน้าที่สองหน่วยงานคือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องนี้แดงออกมาในช่วงที่กำลังจะมีการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
ถูกโยงใยโดยตรงไปยังนักการเมืองกลุ่มส.ส.พรรคเล็ก ที่ถูกระบุว่า ‘รับกล้วย’ เลี้ยงดูจากนักการเมืองใหญ่ในพรรคแกนนำรัฐบาลมาตลอดหลายปี
จึงเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมคะแนนโหวตในสภา ถึงสวนทางกับเสียงของประชาชนกว่าร้อยละ 95 ที่ลงมติคู่ขนานไม่ไว้วางรัฐมนตรีทั้ง 11 คน
ล่าสุดมีผู้รวบรวมหลักฐานเตรียมยื่นต่อ กกต.ให้ตรวจสอบ ว่าข้อจริงเท็จอย่างไร เป็นเงินกู้ยืมจริงหรือไม่ หรือเป็นเงินที่จ่ายเป็นค่าต่อรองบางอย่าง เพื่อประโยชน์ทางการเมืองของผู้ให้
หากเป็นประเด็นหลัง การจ่ายเงินให้พรรคการเมืองเดือนละแสนบาท ไม่ใช่ผิดแค่เรื่องเจ้าหน้าที่รัฐรับสิ่งของมูลค่าเกิน 3,000 บาทเท่านั้น
หากเป็นการจ่ายในลักษณะเงินเดือนต่อเนื่องมาตลอดของการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ยังอาจมีความผิดตามกฎหมายพรรคการเมือง มีโทษทางอาญาทั้งผู้ให้และผู้รับ หากถึงขั้นครอบงำพรรค ก็มีโทษถึงยุบพรรคได้
สำหรับกฎหมายป.ป.ช. กำหนดให้ ส.ส.หรือเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถรับผลประโยชน์ที่คิดเป็นเงินเกิน 3,000 บาท ฝ่าฝืนมีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่สำคัญหากพบเป็นการรับเงินเพื่อแลกกับการลงมติใดๆ จะเข้าข้อหารับสินบน ฐานความผิดต่อหน้าที่ราชการ ตามมาตรา 149 ประมวลกฎหมายอาญา ที่กำหนดว่า
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
ต้องระวางโทษจำคุก 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต ปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท หรือประหารชีวิต
ยังมีความผิดตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง อาจถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง ถูกตรวจสอบฐานร่ำรวยผิดปกติหากไม่สามารถชี้แจงที่มาที่ไปของเงินได้
ที่ผ่านมา กกต.และป.ป.ช.ถูกมองว่ามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดรัฐบาล กรณีนี้จึงเป็นอีกบทพิสูจน์ของความตรงไปตรงมา สังคมจับตาสุดท้ายพลังกล้วย จะอยู่เหนืออำนาจองค์กรอิสระหรือไม่