หลังปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดประเภท 5 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. ทำให้พืชชนิดดังกล่าวไม่จัดอยู่ในประเภทยาเสพติดอีกแล้ว

นักโทษที่ต้องคดี ทั้งลักลอบขายและเสพ หรืออื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับความผิดอื่น ก็จะได้รับการเว้นโทษ ที่ต้องโทษก็ต้องปล่อยเป็นอิสระ ที่อยู่ระหว่างพิจารณาโทษก็ต้องระงับฟ้อง

ความผิดกัญชามีเพียงโทษปรับและจำคุก ถ้าหากสูบในที่สาธารณะปล่อยควันรบกวนผู้อื่น และการสกัดกลั่นน้ำมันกัญชาเกินปริมาณที่กำหนดไว้จนเข้าข่ายเป็นยาเสพติด

ขณะเดียวกันกฎหมายการบริหารจัดการหลังจากปลดพ้นบัญชียาเสพติดก็อยู่ระหว่างการตราขึ้นมา คาดว่าจะใช้ระยะเวลาพอสมควรกว่าจะมีผลบังคับ

ช่วงนี้ องค์กรการแพทย์และเครือข่ายนักวิชาการต่างกังวลเป็นห่วงเด็กและเยาวชนที่อาจเข้าถึงได้ง่ายกว่าบุหรี่ เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายควบคุม

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย มีความเป็นห่วงกลุ่มเปราะบาง คือ เด็กและเยาวชนเข้าถึงกัญชาและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม จากการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสม รวมนำเป็นสารที่มีฤทธิ์ทำให้เสพติดใช้เพื่อนันทนาการ

พร้อมกันนี้ ยังเตือนว่าผู้ที่ต่ำกว่า 20 ปีไม่ควรเข้าถึง เนื่องจากสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ และกัญชามีสารที่มีผลต่อสมองในระยะยาว จึงไม่ควรได้รับสารดังกล่าว

จึงต้องรีบทำความเข้าใจโทษกัญชากับสมองเด็ก เพื่อให้ตระหนักต่อการเข้าถึงเพื่อนันทนาการว่ากัญชาเป็นสารที่มีฤทธิ์เสพติด ส่งผลต่อสุขภาพกายและจิตเฉียบพลัน อาจรุนแรงถึงกับชีวิตได้

แม้จุดประสงค์ของฝ่ายการเมืองต้องการผลักดันนโยบายกัญชาเสรีเพื่อมุ่งไปในทางการแพทย์ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ได้ต้องการเน้นการใช้เพื่อสันทนาการก็ตาม

คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ชี้ว่าการใช้กัญชาทางการแพทย์แผนมีโรคที่อนุญาตให้ใช้อยู่ 6-7 โรค แต่กังวลคือการนำไปสันทนาการโดยอ้างความเจ็บป่วย ถือว่าอันตรายมาก รวมถึงการได้รับสารในกัญชาที่ไม่รู้ปริมาณจากการรับประทานก็น่าห่วง

ดังนั้น ในช่วงนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานป้องกันปราบปรามยาเสพติด จึงควรออกมาตรการเร่งด่วน เพื่อป้องกันกลุ่มเปราะบางไม่ให้เข้าถึงได้อย่างเสรีและมั่วสุมเสพ

ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องไม่ปล่อยผ่านเลยในฐานะผู้รับผิดชอบที่ทำให้เกิดสุญญากาศทางนโยบาย