รองอัยการสูงสุดพิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมจากกลุ่มชาวบ้านบางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ผู้ร้องจำนวน 28 คน ที่ถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดี
จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ รองอัยการสูงสุดมีคำสั่งยุติเรื่องขอความเป็นธรรมในคดีของผู้ร้อง โดยมีความเห็นว่าการที่พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องผู้ร้องทั้ง 28 คน ตามข้อกล่าวหามีเหตุผลประกอบชอบด้วยข้อเท็จจริง ข้ออ้างของผู้ร้องไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานได้
นั่นหมายความว่าจากนี้ต่อไปพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนคดีจะนำตัวกลุ่มชาวบ้านบางกลอยดังกล่าวยื่นฟ้องศาล เพื่อไต่สวนพิจารณาความถูกผิดต่อไป
การเดินหน้าคดีนี้อยู่ในท่ามกลางความห่วงใยจากภาคประชาสังคม เนื่องจากชาวบ้านกำลังเดือดร้อนอย่างหนักจากปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน
การจับกุมดำเนินคดีชาวบ้านบางกลอยสืบเนื่องจากเมื่อเดือนก.พ.2564 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดปฏิบัติการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร เพื่อบังคับผลักดันชาวบ้านบางกลอยออกจากถิ่นฐานดั้งเดิม บ้านบางกลอยบน ใจแผ่นดิน
ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2564 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังหลายฝ่ายบุกควบคุมตัวกลุ่มชาวบ้านกว่า 80 คนลงมาจากบ้านบางกลอยบน ภายในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
ในจำนวนนี้ถูกออกหมายจับ 30 คน ข้อหาความผิดตามพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ และพ.ร.บ.ป่าไม้ เจ้าหน้าที่นำตัวส่งฝากขังและส่งเข้าเรือนจำ เนื่องจากชาวบ้านไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว
เหตุการณ์วันนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์กระทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ และถูกตั้งข้อสังเกตจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน
แม้ต่อมากลุ่มชาวบ้านถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ แต่ก็ต้องประสบกับความยากลำบากในการต่อสู้คดีความแก้ต่างข้อกล่าวหา เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมอาศัยอยู่ในป่าก่อนที่ทางการประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์
ขณะเดียวกัน กรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมตรวจสอบและศึกษาที่มาของปัญหาบางกลอย ซึ่งต่างเห็นพ้องต้องกันไม่ควรฟ้องร้องคดี เนื่องจากไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
ล่าสุดหลังอัยการไม่รับคำร้องและเดินหน้าทางคดี กลุ่มภาคีเซฟบางกลอยจึงมีข้อเรียกร้องถึงอัยการสูงสุด เพื่อให้พิจารณาทบทวนความเห็นไม่สั่งฟ้องคดี
เพราะหากฟ้องคดีจะสร้างภาระในการต่อสู้คดีชั้นศาล เพิ่มความทุกข์ยากในการดำเนินชีวิตของชาวบ้านที่แสนสาหัสอยู่แล้วเข้าไปอีก