รัฐบาลเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565 หรือบัตรคนจน คุณสมบัติขั้นต่ำต้องมีสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป รายได้ต่อปีไม่เกิน 100,000 บาท
โดยปีนี้ผู้ที่ถือบัตรเดิม และผู้ที่ไม่เคยมีบัตรมาก่อน ต้องลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด เมื่อตรวจสอบคุณสมบัติผ่าน จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลในการลดค่าครองชีพ เช่น ซื้อสินค้า ค่าเดินทาง ลดหย่อน ค่าก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น
เพียงไม่กี่วันมีประชาชนเกินกว่า 4 ล้านคนลงทะเบียนทั้งแบบออนไลน์ และออนไซต์ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ว่างงาน แรงงานรับจ้างรายวันผู้ค้าขายรายย่อย เกษตรกรรายย่อยมีรายได้น้อย
สะท้อนจำนวนคนจน หรือกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจนับวันยิ่งมากขึ้น ซึ่งไม่เป็นสัญญาณที่ดีแต่อย่างใด
ดังที่ทราบกันดีสถานการณ์ปัจจุบัน ค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชนพุ่งทะยานสูงขึ้น ขณะที่รายได้ส่วนใหญ่ยังคงเดิมอยู่ในภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง
ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค หรือเงินเฟ้อ เดือนส.ค.ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 7.86 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากราคาพลังงานสูงขึ้น จึงกระทบต่อไปยังต้นทุนการผลิต การขนส่ง ทำให้สินค้าต่างๆ ปรับราคาขึ้นตามไปด้วย
รวมถึงความรุนแรงจากสถานการณ์น้ำท่วม จะส่งผลกระทบต่อราคาอาหารสด ผัก และผลไม้ อีกทั้ง ผู้ประกอบการบริษัทต่างชาติในไทยเตรียมปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ
ดังนั้น จึงคาดการณ์ว่าช่วงปลายปียังมีปัจจัยเสี่ยงนอกเหนือจากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่อาจทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นอีก
จากปัญหาเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ และภาระค่าใช้จ่ายสูงขึ้น สวนทางกับรายได้ไม่งอกเงยตามแม้รัฐบาลเตรียมขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในวันที่ 1 ต.ค. แต่ก็น้อยนิดไม่ทันการณ์กับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนมีสารตั้งต้นเป็นปมปัญหานับตั้งแต่รัฐประหาร 2557 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับโรคระบาด สงคราม และวิกฤตพลังงานจึงยิ่งซ้ำเติมประชาชนจนขณะนี้อยู่ในสภาพกะปลกกะเปลี้ยเต็มทน
ขณะที่การแก้ปัญหายังคงเน้นไปที่การกู้และแจก ซึ่งหลายฝ่ายออกมาเตือนย่อมไม่เป็นผลดีต่อไปในอนาคต ดังนั้น การที่ประชาชนหลายล้านลงทะเบียนรับสิทธิ์บัตรคนจน จึงไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมยินดีแต่ประการใด
เพราะนโยบายผิดพลาด ไม่มีวิสัยทัศน์อะไรใหม่ๆ ต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยหรือไม่ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประชาชนขัดสนและยากจนขึ้น