น้ำมันตับปลา VS น้ำมันปลา เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?

Home » น้ำมันตับปลา VS น้ำมันปลา เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?
น้ำมันตับปลา VS น้ำมันปลา เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ และทานกันอย่างแพร่หลาย คงหนีไม่พ้นน้ำมันตับปลาที่อยู่ในแคปซูล เม็ดใหญ่ๆ สีเหลืองๆ ทานกันเป็นกระปุกๆ แต่หลายคนอาจจะเคยได้ยินทั้ง “น้ำมันตับปลา” และ “น้ำมันปลา” จริงๆ แล้วทั้งสองอย่างนี้เหมือนกัน หรือคนละอย่างกันแน่นะ

น้ำมันปลา และ น้ำมันตับปลา แม้จะมีชื่อคล้ายกัน แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างอย่างมาก ทั้งในด้านแหล่งที่มา สารอาหารสำคัญ และประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ โดยแต่ละชนิดมีข้อดีเฉพาะตัวที่เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานที่แตกต่างกัน

น้ำมันตับปลา VS น้ำมันปลา เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?

น้ำมันตับปลา (Cod Liver Oil)  แหล่งวิตามินเอและดีที่เข้มข้น

น้ำมันตับปลา คือ น้ำมันที่สกัดมาจากตับของปลา ส่วนใหญ่เป็นปลาทะเล เช่น ปลาค็อด ภาษาอังกฤษจึงเรียกว่า cod liver oil น้ำมันตับปลาเต็มไปด้วยวิตามินเอ และดีสูง

ประโยชน์ของน้ำมันตับปลา

น้ำมันตับปลาสกัดจาก ตับปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาค็อด จึงอุดมไปด้วย วิตามินเอ และ วิตามินดี ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:

  • วิตามินเอ: ช่วยเสริมสร้างเยื่อบุผิวหนัง กระดูก และระบบภูมิต้านทาน ช่วยบำรุงสายตาให้สามารถมองเห็นได้ดีในที่ที่มีแสงน้อย และลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการตาบอดตอนกลางคืน
  • วิตามินดี: ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย ส่งผลดีต่อกระดูกและฟัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตและผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก

ข้อควรระวังในการบริโภคน้ำมันตับปลา

แม้จะมีประโยชน์มาก แต่น้ำมันตับปลาก็มีคอเลสเตอรอลสูง ดังนั้นหากบริโภคในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายสูงเกินได้ นอกจากนี้ เนื่องจากวิตามินเอและดีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน หากสะสมมากเกินไปอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น อาการคลื่นไส้หรือเวียนศีรษะ ดังนั้นควรรับประทานตามคำแนะนำเพื่อประโยชน์สูงสุด


น้ำมันปลา (Fish Oil) แหล่งกรดไขมันโอเมก้า-3 เพื่อหัวใจและสมอง

น้ำมันปลา หรือ น้ำมันปลาทะเล สกัดมาจากปลาทะเลเช่นเดียวกัน แต่สกัดจากส่วนหนัง เนื้อ หัว และหางของปลาทะเลน้ำลึก เราจึงเรียกแค่น้ำมันปลาว่าเป็น fish oil เฉยๆ

ประโยชน์ของน้ำมันปลา

น้ำมันปลาสกัดจาก ส่วนหนัง เนื้อ หัว และหางของปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอนและแอนโชวี่ น้ำมันปลาอุดมไปด้วย กรดไขมันโอเมก้า-3 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง DHA (Docosahexaenoic Acid) และ EPA (Eicosapentaenoic Acid) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านต่างๆ ดังนี้

  • DHA: มีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบประสาทและสมอง โดยเฉพาะในเด็กแรกเกิด อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบการมองเห็น
  • EPA: ช่วยลดระดับไขมันในเลือด บำรุงหัวใจ และลดการอักเสบในร่างกาย

การเพิ่ม DHA ในร่างกาย

แม้ร่างกายจะสามารถสร้าง DHA ได้ในปริมาณน้อยจากกรดแอลฟ่าลิโนเลนิก (ALA) แต่การบริโภคปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอนและแมคเคอเรล จะช่วยเพิ่มระดับ DHA ในร่างกายได้มากขึ้น นอกจากนี้ คุณแม่ที่ต้องการเสริม DHA ให้กับลูกน้อย ควรบริโภคปลาหรือผลิตภัณฑ์ที่มี DHA เพื่อส่งผ่านไปยังลูกน้อยผ่านน้ำนม

  • น้ำมันปลา กับข้อควรระวังในการบริโภค

 สรุปการเลือกใช้ น้ำมันปลา vs น้ำมันตับปลา

  • หากต้องการโอเมก้า-3 ในปริมาณสูง ควรเลือกรับประทานน้ำมันปลา

  • หากต้องการประโยชน์จากวิตามินเอและดี ควรเลือกรับประทานน้ำมันตับปลา

รู้ถึงความแตกต่างของน้ำมันตับปลา และน้ำมันปลาแล้ว ก็เลือกทานกันให้ดีว่าจะทานตัวไหน เพื่ออะไรนะคะ ที่สำคัญของย้ำอีกที ก่อนทานน้ำมันทั้งสองชนิดนี้ ควรศึกษาวิธีทาน ปริมาณที่ควรทานให้พอดีกับร่างกายของตัวเอง และระยะเวลาในการทานให้ดี เพื่อที่จะให้อาหารที่เราทานมีประโยชน์ต่อร่างกายให้มากที่สุด และไม่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองในภายหลัง

  • น้ำมันปลา VS น้ำมันตับปลา ชื่อคล้ายกัน แต่ต่างกันมาก
  • อย่าสับสน! “น้ำมันปลา-น้ำมันตับปลา” ประโยชน์ต่าง-กินให้ถูกวิธี

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ