น้ำฝน กุลณัฐ แชร์ประสบการณ์ ลูกติดโควิดที่อเมริกา รู้ตัวอีกทีใกล้หายแล้ว
ตัวเองและสามีติดโควิดที่เมืองไทยพอรักษาตัวหาย น้ำฝน กุลณัฐ พร้อมสามีและลูกสาว ก็ลัดฟ้ากลับไปบ้านสามีที่อเมริกา ปรากฎลูกสาวติดโควิดไม่รู้ตัว แถมตรวจตอนมีไข้ไม่เจอ
โดยเจ้าตัวเล่าประสบการณ์ตรงเรื่องการดูแลลูกที่ติดโควิดที่อเมริกาว่า “คนที่นั่นเขาใช้ชีวิตค่อนข้างที่จะปล่อยแล้วด้วย เขาไม่ได้มาฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์เหมือนบ้านเราแล้ว ญาติ จอร์แดนแต่ละคนเขาก็อิ่มกับโควิดแล้ว ใส่แมสก์บ้าง ไม่ใส่แมสก์บ้าง แต่ส่วนใหญ่เขาจะไม่ใส่กัน
แล้วเราเองก็เพิ่งหาย หมอบอกว่าภายใน 3 เดือนนี้เราจะไม่ติดอีก เราก็ใจดีสู้เสือ แต่ว่าลูกยังไม่เคยเป็นก็กังวล แต่ท้ายที่สุดก็รับเชื้อไป คือฝนกับจอร์แดน เราติดที่ภูเก็ตรักษาตัวกันจนหายแล้วถึงได้เดินทางไปอเมริกา ส่วนลูกสาวไปได้ที่อเมริกาตอนปีใหม่”
วิธีการดูแลรักษาโควิดที่อเมริกาเป็นอย่างไรบ้าง? “ลูกสาวเป็นวันที่ 30 ธ.ค. เราไปดิสนีย์วันที่ 10 หมอที่นี่บอกว่าเป็น 10 วันเชื้อก็ไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว ไม่สามารถแพร่เชื้อได้ ดังนั้นวันที่ 10 ธ.ค. เราก็ออกจากบ้านแล้ว เรื่องการรักษาเขาให้ดูแลตัวเอง ใครอยากไปตรวจเอทีเคก็ไปตรวจ ใครอยากไปตรวจพีซีอาร์ก็ไปตรวจ ถ้าตรวจแล้วเป็นบวกก็ให้รักษาอยู่ที่บ้าน”
กังวลไหม? “ตอนแรกกังวล แต่ข้อดีคือทาเรียเขาเป็นแค่วันเดียว เขามีไข้แค่ 24 ชั่วโมง แล้วก็อ้วก 2 รอบเท่านั้นค่ะ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเลย เราก็คิดว่าเขาอาหารเป็นพิษ จากนั้น 2-3 วัน ญาติแฟนก็โทรมาบอกว่าเขาเป็น ซึ่งเป็นคนที่เราเพิ่งไปเจอ เราก็คิดว่าไม่น่าจะรอด
ตอนแรกเราก็กังวลเพราะว่าเขาเป็นไข้ พอเขาอ้วกอีก คือเราไม่ได้ไปคิดถึงโควิด อาการมันเหมือนกับเป็นไข้แล้วอ้วก วันรุ่งขึ้นเขาก็หายเป็นปกติเลย กินได้ และเล่นได้ปกติ ไม่มีไข้ แต่ว่ามีจามบ้างเล็กน้อย ไอก็เล็กน้อย เหมือนคนแพ้อากาศ แล้วไม่ได้ไอทุกวัน เราก็ยิ่งคิดว่าไม่ได้เป็น
จนญาติโทรมาบอกว่าเขาเป็น คือเราก็ไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้ว เพราะเป็นช่วงปีใหม่ เราก็อยู่กันเอง แล้วบ้านจอร์แดนก็เป็นกันหมดแล้ว มันเลยไม่มีโอกาสไปแพร่ใคร”
แสดงว่าตอนที่ลูกสาวเป็น ไม่มีใครป้องกันตัวเลย? “ไม่รู้เลยว่าเป็น(หัวเราะ) มารู้อีกก็ผ่านไป 6 วันแล้ว คือเรารู้ว่าญาติเราเป็นก็คิดว่าจะไปตรวจไหม แต่ว่าตอนนี้ เอทีเค และพีซีอาร์มันค่อนข้างเต็ม เอทีเคของขาดตลอด พีซีอาร์ก็คิวเต็ม เพราะว่าช่วงปีใหม่ โรงเรียน ที่ทำงาน เขาขอผลพีซีอาร์ ก่อนที่จะเข้าเรียนและทำงานหลังหยุดปีใหม่
กว่าจะได้คิวตรวจวันที่ 11-12 มค. ก็คิดว่าจะไปตรวจทำไมวันที่ 12 เพราะว่าเรามีคิว ตรวจอยู่แล้ว ด้วยว่าเราก็ต้องบินกลับวันที่ 15 ม.ค. ซึ่งไปตรวจตอนนั้นถ้าผลออกมาเป็นลบแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าลูกเคยเป็นหรือเปล่า
ตอนนั้นเรามีเอทีเคอยู่ 2 อันแฟนก็กังวลไม่อยากให้ใช้ กลัวว่าจะหมด เพราะอเมริกาขาดตลาดจริงๆ ขนาดของฟรียังเอามาขายอันล่ะ 20 เหรียญ เป็นเงินไทยก็ 600 กว่าบาท เขาก็ให้อยากให้เก็บไว้ใช้ตอนจำเป็น แล้วลูกก็ดูไม่ป่วย แล้วเราก็อยู่กันเอง เราก็คิดต่าง ฉันอยากรู้ว่าลูกเป็นไหม พอมาถึงวันที่ 6 ต้องไปเยี่ยมญาติอีกคน ทีนี้ต้องตรวจแล้ว เราก็เอาของเราไปตรวจลูกก่อน เพราะว่าเราเคยเป็นมาแล้ว ลูกก็บวกเลยค่ะ
แต่ว่าวันแรกที่มีไข้ ฝนตรวจนะ แต่ว่ามันเป็นลบ เลยทำให้เราคิดว่าอาหารเป็นพิษ แต่เขาบอกว่าเขาปวดหัวมาก เราก็ไม่ได้ไปอ่านอาการของโอมิครอน ว่ามันมีอาการอย่างไร แล้วครั้งแรกตรวจเป็นลบ เราก็เลยไปตรวจเป็นคลินิคเด็ก รอผล 3 วัน ใจลึกๆอยากให้ผลเป็นบวกไปเลย เพราะว่าลูกเราไม่มีอาการ แล้วเรายังต้องไปดิสนีย์ ไปซีเวิลด์อีก เราจะได้ไม่ต้องกังวลมาก
ตอนนี้ฝนกลับมาอยู่กรุงเทพฯแล้ว คือตอนนี้ลูกสาวไปโรงเรียนแล้ว แต่ก็ต้องตรวจอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ทั้งบ้านค่ะ แต่ว่าฝนกับจอร์แดน เราฉีดวัคซีนบูสจากอเมริกามาแล้ว 2 เข็มด้วย เพราะไหนๆ เราก็อยู่ที่นั่นแล้ว”