ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีกว่าก่อน น็อตต์ส เคาน์ตี ที่ตอนนั้นเล่นอยู่ในลีกทู ได้สร้างความฮือฮาหลังสโมสรถูกเทคโอเวอร์ ด้วยการแต่งตั้ง สเวน โกรัน อีริคส์สัน อดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษ ขึ้นเป็นผู้อำนวยการกีฬา
ในตอนนั้น พวกเขามีเมกะโปรเจกต์ ที่จะพาสโมสรอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษทีมนี้ ขึ้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีก พร้อมคว้าตัวแข้งดังอย่าง แคสเปอร์ ชไมเคิล และ โซล แคมป์เบลล์ มาร่วมทัพ รวมถึงตกเป็นข่าวกับแข้งซูเปอร์สตาร์อย่าง เดวิด เบ็คแคม และ โรแบร์โต คาร์ลอส
แต่ผ่านไปไม่นาน โปรเจกต์พวกเขากลับพังไม่เป็นท่า นักเตะดังพากันแตกฉานซ่านเซ็นออกจากทีม ก่อนจะร่วงลงไปเล่นนอกลีก ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี
เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ? ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand
สโมสรคุณทวดแห่งอังกฤษ
น็อตต์ส เคาน์ตี อาจจะไม่ใช่สโมสรที่ถูกพูดถึงมากนัก แต่พวกเขาก็ยังเป็นทีมที่ได้รับการยกย่องจากชาวอังกฤษ ในฐานะสโมสรอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดของชาวผู้ดี (สโมสรที่เก่าแก่ที่สุดคือ เชฟฟิลด์ เอฟซี ที่ก่อตั้งในปี 1857 แต่เป็นเพียงทีมสมัครเล่น)
สโมสรจากเมืองน็อตติงแฮมทีมนี้ เริ่มก่อตั้งในปี 1862 หรือหนึ่งปีก่อนการก่อตั้งของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ และเป็น 1 ใน 11 สมาชิกตั้งต้นของ “ฟุตบอลลีก” ที่ก่อตั้งในปี 1888
พวกเขายังเป็นต้นแบบชุดแข่งของ ยูเวนตุส ทีมดังจากอิตาลี ที่เปลี่ยนจากชุดแข่งเดิมที่เป็นสีชมพู มาใช้ชุดแข่งทางม้าลายแบบเดียวกับ น็อตต์ส เคาน์ตี มาตั้งแต่ปี 1903
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จกับพวกเขาดูเหมือนจะเป็นเส้นขนาน เพราะแม้ว่า น็อตต์ส เคาน์ตี จะเป็นทีมที่อยู่คู่ลีกอังกฤษมาอย่างยาวนาน แต่กลับไม่มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน โดยผลงานที่ดีที่สุดคือการคว้าแชมป์เอฟเอคัพในปี 1894
ส่วนที่เหลือพวกเขามักจะวนเวียนอยู่ในกลางตารางค่อนไปทางท้าย แถมยังเคยกระเด็นตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชั่น 4 หรือลีกอาชีพล่างสุดของอังกฤษ ในช่วงทศวรรษที่ 1960s และ 1970s
แตกต่างจาก น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ คู่แข่งร่วมเมือง ที่ขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งวงการลูกหนังแดนผู้ดีช่วงทศวรรษที่ 1970s ด้วยตำแหน่งแชมป์ลีก 1 สมัย ลีกคัพ 2 สมัย และแชมป์ยูโรเปียนคัพอีก 2 สมัย
นอกจากนี้ สโมสรเจ้าของฉายา “เดอะ แมกพายส์” ยังเป็นทีมที่ไม่เคยสัมผัสกับพรีเมียร์ลีก หลังร่วงตกชั้นจากดิวิชั่น 1 ลีกสูงสุด ณ ขณะนั้นในฤดูกาล 1991-92 ก่อนหน้าที่จะมีการรีแบรนด์เพียงไม่กี่อึดใจ และมีสถานะเป็นเพียงทีมลีกล่างของแดนผู้ดี
อย่างไรก็ดี ในปี 2009 พวกเขาก็มีความหวังที่จะกลับมาลืมตาอ้าปากอีกครั้ง
มุ่งสู่พรีเมียร์ลีก
ในช่วงทศวรรษที่ 2000s การเทคโอเวอร์สโมสรในอังกฤษ กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในหมู่เศรษฐี เพราะหลังจาก “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช เข้าซื้อเชลซี ในปี 2003 ก็มีหลายคนที่เดินตามรอยเขา
ไม่ว่าจะเป็น ตระกูลเกลเซอร์ ที่เทคโอเวอร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2005, แรนดี เลอร์เนอร์ ที่ซื้อ แอสตัน วิลลา ในปีต่อมา หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ถูก ดร. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เทคโอเวอร์เมื่อปี 2007 ก่อนขายต่อให้ ชีค มันซูร์ และกลุ่มทุนจากอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในปี 2008
ทำให้การเทคโอเวอร์ กลายเป็นความหวังใหม่ของเหล่าสโมสรในอังกฤษ โดยเฉพาะทีมไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง เพราะงบประมาณจำนวนมหาศาลจากเจ้าของใหม่ ช่วยยกระดับทีมได้จริง และ เชลซี กับ แมนฯ ซิตี้ ก็คือตัวอย่างชั้นดี
เช่นกันสำหรับ น็อตต์ส เคาน์ตี ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000s พวกเขากำลังย่ำแย่ หลังร่วงลงมาเล่นในลีกทู ซึ่งเป็นลีกต่ำสุดของลีกอาชีพเมืองผู้ดี แถมยังมีปัญหาทางการเงินอย่างหนัก จนอยู่ในสภาวะใกล้จะล้มละลาย
แต่ในปี 2009 แฟนบอล น็อตต์ส เคาน์ตี ก็ได้รับข่าวดีในรอบหลายปี เมื่อสโมสรกลายเป็นผู้ถูกเลือกของเศรษฐีบ้าง หลัง Munto Finance บริษัทลูกของ Qadback Investment เข้าเทคโอเวอร์สโมสร พร้อมแต่งตั้ง ปีเตอร์ เทรมบลิง คนของพวกเขาขึ้นมาเป็นประธานสโมสรคนใหม่
อย่างไรก็ดี การเข้ามาของ Munto Finance ไม่ได้จะเข้ามาปลดหนี้สโมสรเท่านั้น แต่พวกเขายังมีเมกกะโปรเจกต์ นั่นคือการพาสโมสรอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษทีมนี้ขึ้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีก
“สโมสรอยู่ล่วนล่างของลีกทู แต่เรามีสนามระดับแชมเปียนชิพ และแฟนบอลที่จงรักภักดี แถมยังเป็นสโมสรอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก” ปีเตอร์ เทรมบลิง ประธานสโมสร กล่าวในตอนนั้น
“นี่คือคำนิยามอันยอดเยี่ยม ทำให้เราสามารถทำการตลาดกับแฟนฟุตบอลทั่วโลก มันเป็นสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นให้ผม ในการทำธุรกิจกับฟุตบอล”
ในตอนนั้น Munto Finance ที่มี รัสเซลล์ คิง และ นาธาน วิลเล็ตต์ เป็นสองหัวหอกสำคัญ บอกว่าพวกเขามีเศรษฐีจากตะวันออกกลาง ซึ่งมีสายสัมพันธ์กับราชวงศ์บาห์เรน เป็นผู้สนับสนุนเงินทุน และพร้อมจะทุ่มงบประมาณเพื่อยกระดับทีม
และไม่ได้แค่พูดเท่านั้น เพราะไม่กี่วันหลังการเทคโอเวอร์สำเร็จ น็อตต์ส เคาน์ตี ก็ได้แต่งตั้ง สเวน โกรัน อีริคส์สัน อดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการกีฬา พร้อมรับค่าเหนื่อยสูงถึง 38,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ พวกเขายังได้เซ็นสัญญากับแบรนด์ระดับโลก อย่าง Medoc Computer และ Nike ที่ทำให้ทีมรับทรัพย์มหาศาล จากการที่สองแบรนด์นี้จะเข้ามาเป็นสปอนเซอร์คาดอกและผลิตชุดแข่งให้กับพวกเขา
ในขณะเดียวกัน ทีมก็ได้นักเตะฝีเท้าดี ดีกรีพรีเมียร์ลีกมาเสริมทีมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น แคสเปอร์ ชไมเคิล ที่ย้ายมาจาก แมนฯ ซิตี้ หรือ ลี ฮิวจ์ส อดีตกองหน้า เวสต์บรอมวิช อัลเบียน รวมถึงตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับแข้งระดับโลก อย่าง คริสเตียน วิเอรี, ปาทริค วิเอรา, เดวิด เบ็คแฮม และ โรแบร์โต้ คาร์ลอส
มันกลายเป็นฤดูกาลที่ชื่นมื่นของ น็อตต์ส เคาน์ตี แถมพวกเขายังทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมในช่วงเปิดฤดูกาล ด้วยการยิงคู่แข่งไปถึง 9 ลูก โดยไม่เสียประตู ใน 2 เกมแรก ขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูง อย่างไร้คู่แข่ง พลิกฟอร์มจากฤดูกาลที่แล้วที่จบในอันดับ 19 ของตาราง อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
ดูเหมือนว่าอนาคตที่สดใสกำลังรอพวกเขาอยู่ ทว่าความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม
คำสัญญาที่ไม่มีอยู่จริง
เมกะโปรเจกต์ของ น็อตต์ส เคาน์ตี ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะเปิดฤดูกาลไปแล้ว เมื่อหลังจากนั้นพวกเขาได้ตัวนักเตะอย่าง โซล แคมป์เบลล์ มาร่วมทัพอีกรายด้วยสัญญายาว 4 ปี พร้อมรับค่าเหนื่อย 40,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
เขาคืออดีตกองหลัง อาร์เซนอล ชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกไร้พ่ายเมื่อฤดูกาล 2003-04 เคยติดทีมยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาลของพรีเมียร์ลีกหลายสมัย รวมถึงยังเคยลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 3 ครั้งติดต่อกัน ทำให้การย้ายมาเล่นในลีกล่างของเขาเป็นข้อพิสูจน์ว่า น็อตต์ส เคาน์ตี เอาจริง
“ผมมั่นใจว่าบางสิ่งที่พิเศษกำลังจะถูกสร้างขึ้นที่สโมสร ซึ่งจะทำให้สโมสรเข้ากับความทะเยอทะยานของเจ้าของ และผู้บริหารคนใหม่ รวมไปถึงเป็นความภาคภูมิใจของแฟน” แคมป์เบลล์กล่าวในวันเปิดตัว
“นี่เป็นความท้าทาย ผมคิดว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสรกำลังเตรียมตัวกับสิ่งนั้น มันคือความฝันที่ยอดเยี่ยมในการเลื่อนชั้น และทำให้ น็อตต์ส เคาน์ตี ไปเล่นในพรีเมียร์ลีก”
อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของ แคมป์เบลล์ และ น็อตต์ส เคาน์ตี ช่างแสนสั้น เมื่อหลังลงประเดิมสนามในเกมพบกับ มอร์แคมบ์ เขาก็ไม่ได้กลับมาเล่นให้ทีมอีก ก่อนจะยกเลิกสัญญากับทีมอย่างกะทันหัน
“เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วหลังผ่านไปสองสัปดาห์ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเขา เราได้ซ้อมกันหนึ่งวัน และกลับมาที่สนามแข่ง และหลังจากนั้นทุกอย่าง รองเท้าของเขาก็หายไป เราไม่เห็นเขาอีกเลย” เบรนแดน มาโลนีย์ อดีตกองหลัง น็อตต์ส เคาน์ตี กล่าวกับ Balls.ie
ในตอนนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บ้างก็ว่า แคมป์เบลล์ รู้สึกผิดหวังกับผลงานของตัวเองในเกมประเดิมสนาม ที่ทำให้ทีมพบกับความพ่ายแพ้ บ้างก็ว่าเขาเปลี่ยนใจไม่อยากเล่นกับทีมในลีกระดับล่างขนาดนี้
“เราผิดหวังมากที่โซล รู้สึกว่าเขาไม่สามารถปรับตัวเข้ากับแผนการระยะยาวของเรา” ปีเตอร์ เทรมบิง ประธานสโมสร กล่าวในตอนนั้น
“บางทีอาจจะเป็นเพราะสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามที่เขาคิด แต่นี่คือโปรเจกต์ 5 ปี ไม่ใช่ 5 สัปดาห์ เราไม่สามารถเป็นทีมพรีเมียร์ลีกได้เพียงแค่ชั่วข้ามคืน”
แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือสัญญาณแห่งความหายนะที่กำลังจะตามมา …
มันเริ่มต้นจากการที่นักเตะของ น็อตต์ส เคาน์ตี ออกมาร้องเรียนสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (PFA) ในเดือนตุลาคม 2009 ว่าพวกเขาไม่ได้รับโบนัสตามที่สัญญาไว้ ในตอนแรกสโมสรแจ้งว่าเป็นเพราะความผิดพลาดในระบบคอมพิวเตอร์
แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน สโมสรก็เต็มไปด้วยใบแจ้งหนี้ค้างจ่ายเป็นจำนวนมาก ก่อนที่ เทรมบลิง ประธานสโมสร จะออกมายอมรับว่าเงิน “หลายล้าน” ที่เคยสัญญาไว้ในช่วงต้นฤดูกาล ไม่เคยมีอยู่จริง
“สโมสรมีปัญหาการเงิน มีใบแจ้งหนี้มากมายที่ไม่ได้จ่าย แน่นอนว่าผมเริ่มสงสัยแล้ว และพวกเขาก็ไม่ได้จ่ายเงินให้ผมอย่างที่สัญญา” อีริคส์สันกล่าวกับ The Guardian
และมันก็ทำให้ น็อตต์ส เคาน์ตี แปรเปลี่ยนจาก “เศรษฐีใหม่” กลายเป็นทีม “ถังแตก” ในชั่วข้ามคืน พวกเขาเต็มไปด้วยหนี้ที่เกิดจากการทบต้นทบดอก ซึ่งมาจากการทุ่มเงินอย่างมหาศาลในช่วงต้นฤดูกาล ก่อนที่ Munto จะประกาศขายสโมสรในเดือนธันวาคม 2009 หรือไม่ถึงครึ่งปีหลังเทคโอเวอร์
อย่างไรก็ดี ด้วยสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญ ทำให้ไม่มีกลุ่มทุนรายใดสนใจเรือที่กำลังจะจมลำนี้ ทำให้สุดท้ายพวกเขาต้องขายสโมสรให้กับ เรย์ ทรูว์ นักธุรกิจท้องถิ่นที่เคยเป็นอดีตประธานสโมสร ลินคอล์น ด้วยเงินเพียง 1 ปอนด์
ก่อนจะพบว่าสโมสรเป็นหนี้อยู่ถึง 7 ล้านปอนด์ (288 ล้านบาท) ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่าที่ Munto เคยแจ้งเอาไว้ ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะก่อหนี้ไว้มากขนาดนี้
และมันก็ทำให้ความจริงปรากฏ
โปรเจกต์ลม
“ผมไม่ได้สงสัยอะไรเลยตั้งแต่แรก” อีริคส์สัน ที่ลาออกจากตำแหน่งหลัง ทรูว์ เข้ามารับช่วงต่อ กล่าวกับ The Guardian
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในเดือนมิถุนายน 2009 เมื่อ อีริคส์สัน ได้รับการติดต่อจาก รัสเซลล์ คิง และ นาธาน วิลเล็ตต์ สองนักการเงินที่เคยทำธุรกิจในเกาะเจอร์ซีย์ และอ้างว่าพวกเขาเป็นตัวแทนของผู้ลงทุนจากตะวันออกกลาง
“ผมได้เจอกับสองคนนี้ เขาดูกระตือรือร้นเป็นอย่างมากกับสิ่งที่เขาพูด” อดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษอธิบายต่อ
“พวกเขาเพิ่งซื้อสโมสรมา และอยากพามันไปพรีเมียร์ลีก พวกเขาให้คำสัญญามากมายเกี่ยวกับนักเตะ เกี่ยวกับสนามซ้อม อคาเดมี พวกเขาบอกว่าจะซ่อมสนาม และจะหาสโมสรลูก”
“ผมชอบไอเดียของโปรเจกต์นี้ ความท้าทายที่จะทำ มันเหมือนกับความฝัน ถ้าสิ่งที่เขาสัญญาเป็นจริง เราน่าจะทำสำเร็จ”
คิงบอก อีริคส์สัน ว่าเขาทำงานให้ตระกูล Hyat ซึ่งเป็นตระกูลดังในตะวันออกกลาง และมีสายสัมพันธ์อันดีกับ Abid Hyat Khan เจ้าชายของตระกูลนี้ ในขณะที่การเทคโอเวอร์สโมสรก็สบายใจได้ เพราะมีธนาคาร First London PLC ที่มี ส.ส.พรรคอนุรักษ์นิยม และอดีตสายลับเป็นที่ปรึกษา เป็นผู้ค้ำประกัน
นอกจากนี้เขายังอ้างว่ามีบริษัทเหมือง ที่มีสินทรัพย์อยู่ราว 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (60 ล้านล้านบาท) เนื่องจากได้สัมปทานทองคำ ถ่านหิน และแร่เหล็กในเกาหลีเหนือ ซึ่งเงินทุนส่วนหนึ่งจะมาจากตรงนี้ แถมเขายังเคยพาอีริคส์สันไปเยือนเกาหลีเหนืออีกด้วย
อย่างไรก็ดี มีเพียงเรื่องตัวธนาคารที่ค้ำประกันเท่านั้นที่เป็นเรื่องจริง แถมเมื่อสืบยังพบว่า ธนาคาร First London PLC ยังเป็นธนาคารที่ คิง ถือหุ้นอยู่ถึง 49 เปอร์เซ็นต์ ที่ได้มาจากไปบอกธนาคารว่าเขาคือผู้บริหารสินทรัพย์ให้กับราชวงศ์บาห์เรน แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องโกหก
“เขาอาจจะเคยพบสมาชิกของราชวงค์ที่นี่และที่นั่น แต่เราไม่ได้มีสายสัมพันธ์ทางการเงินกับเขาหรือบริษัทของเขา” ฟาวาซ อัล คอลิฟะห์ หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของบาห์เรนบอกกับ BBC
ส่วนที่เหลือทุกอย่างเป็นเรื่องหลอกหลวงทั้งสิ้น ทั้งเรื่องเงินทุนจากผู้ลงทุนจากตะวันออกกลาง หรือบริษัทเหมืองมูลค่าล้านล้าน ในขณะที่การค้ำประกันของธนาคาร ยังเป็นการทำโดยพลการ ที่ไม่ได้รับการรับรองจากบอร์ดบริหาร จนสุดท้ายทำให้ธนาคารถูกควบคุมกิจการในปี 2010 พร้อมกับหนี้จำนวน 8 ล้านปอนด์ (330 ล้านบาท)
แถมเมื่อสืบลึกลงไปยังพบว่า เขาเป็นเพียงนักต้มตุ๋นที่เคยมีคดีความจนติดคุกมาก่อนในอดีต จากการหลอกบริษัทประกันว่ารถหาย เพื่อเรียกร้องเงินประกัน แต่ที่จริงเขาเอามันไปซ่อนไว้ในอู่ซ่อมรถ
“มีข้อบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าเขาคืออาชญากรต่อเนื่อง” ฟิลิป ซีเนลล์ ทนายความกล่าวกับ BBC
นอกจากนี้ อันวาร์ ชาฟี หัวหน้าตระกูล Hyat ยังบอกว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสโมสร หลังมีชื่อของเขาในหน้าเว็บไซต์ น็อตต์ส เคาน์ตี และยืนยันว่า Abid Hyat Khan ไม่ได้เป็นญาติของพวกเขา ก่อนจะพบว่า ชายที่ คิง อ้างว่าเป็นเจ้าชายจากอาหรับ คือผู้ต้องหาหนีคดีของอังกฤษ
“มันไม่ใช่ผม ผมไม่ได้ทำแถลงการณ์นั้น ผมไม่เคยลงทุนกับ Qadbak และผมไม่ได้มีบทบาทอะไรกับสโมสร” ชาฟีกล่าวกับ The Guardian
ทำให้โปรเจกต์เลิศหรูที่จะพา น็อตต์ส เคาน์ตี ไปเล่นพรีเมียร์ลีก เป็นเพียงการหลอกลวง คิง ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นตั้งแต่แรก เขาจึงไม่ได้ซ่อมหรือปรับปรุงสนามแข่งและสนามซ้อม หรือเซ็นสัญญาผู้เล่นระดับโลกตามคำสัญญา
และ แคมป์เบลล์ ก็น่าจะเป็นคนแรก ๆ ที่ระแคะระคายในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้อดีตกองหลัง อาร์เซนอล ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับทีม หลังลงเล่นไปได้นัดเดียว
“ผมรู้ว่าผมเป็นการเซ็นสัญญาครั้งใหญ่รายแรกของสโมสร แต่พวกเขาบอกผมว่าจะมีอีกหลายคนตามมา พวกเขาพูดถึงชื่ออย่าง โรแบร์โต้ คาร์ลอส, เบนจานี แต่ก็ไม่มีอะไรที่ทำได้จริง” แคมป์เบลล์กล่าวในภายหลัง
“สิ่งเดียวที่ผมรู้สึกผิด คือเชื่อคำพูดของพวกเขาโดยไม่ได้ตรวจสอบ แต่ผมไม่อายหรอก ไม่เจ็บหรือรู้สึกด้อยค่า ไม่รู้สึกอะไรอย่างนั้น ผมแค่ผิดหวัง”
“ผมถูกพาเข้าไปในความฝัน และผมก็อยากทำให้ฝันนั้นเป็นจริง แต่เพียงไม่ถึงเดือนผมก็รู้ว่า ทั้งหมดกำลังจะเดินไปสู่บทสรุปที่ต่างออกไป”
และมันก็กลายเป็นสิ่งซ้ำเติม น็อตต์ส เคาน์ตี ที่กำลังป่วยให้กลายเป็นสโมสรที่แทบหมดลมหายใจ
บทเรียนจากความเจ็บปวด
แม้ว่า น็อตต์ส เคาน์ตี จะเผชิญกับปัญหาที่รุมเร้า แต่พวกเขาก็ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในสนาม ด้วยการคว้าแชมป์ลีกทูในฤดูกาล 2009-10 พร้อมได้สิทธิ์เลื่อนชั้น ขึ้นไปเล่นในลีกวันเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี
อย่างไรก็ดี ด้วยปัญหาทางการเงิน ทำให้พวกเขาไม่สามารถรั้งตัวนักเตะตัวหลักเอาไว้ได้ และต้องจำใจปล่อยออกจากทีม รวมไปถึง ชไมเคิล ที่ตอนนั้นรับค่าเหนื่อยอยู่ 15,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ก่อนย้ายไปเล่นให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด และเป็นนักเตะดีกรีแชมป์พรีเมียร์ลีกกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในเวลาต่อมา
หลังจากนั้น แม้ว่าพวกเขาจะประคองตัวได้ในลีกวัน ด้วยการอยู่ในโซนท้ายตารางสลับกับกลางตาราง แต่สุดท้ายด้วยงบประมาณที่จำกัด ทำให้พวกเขาไปไม่รอด และร่วงลงมาเล่นในลีกทูในปี 2015 ก่อนจะตกชั้นลงไปเล่นนอกลีกในอีก 4 ปีต่อมา
ในขณะที่ คิง แม้ว่าเขาจะสร้างความเสียหายให้กับ น็อตต์ส เคาน์ตี อย่างหนัก แต่กลับไม่ถูกดำเนินคดีจากสิ่งที่ก่อไว้ เนื่องจากไม่มีชื่ออยู่ในเอกสารแม้แต่จุดเดียว และทำให้ตำรวจเอาผิดกับเขาไม่ได้
อย่างไรก็ดี เขากำลังชดใช้กรรมจากคดีฉ้อโกงและยักยอกทรัพย์ รวมทั้งสิ้น 25 ข้อหา ที่ก่อไว้ตั้งแต่ปี 2008 สมัยที่อยู่ในเกาะเจอร์ซีย์ ของอังกฤษ โดยเขาถูกศาลสั่งจำคุก 6 ปี และปรับ 670,000 ปอนด์ (27 ล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2019
นี่คือสิ่งที่สโมสรอาชีพที่เก่าแก่ของอังกฤษต้องเผชิญอย่างน่าเศร้า พวกเขาต้องตกเป็นเหยื่อจากคำโกหกหลอกลวง ทั้งที่ก่อนหน้านั้น เป้าหมายของพวกเขายังอยู่ที่พรีเมียร์ลีก
มันกลายเป็นบาดแผลทางประวัติศาสตร์ของพวกเขา จนทำให้หน้าเว็บไซต์ของสโมสรบันทึกเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียด ในหัวข้อ “ทุกอย่างมันค่อนข้างดูเกินจริง”
และแน่นอนว่ามันจะเป็นเครื่องเตือนใจที่ น็อตตส์ เคาน์ตี และแฟนบอลของทีมไม่มีวันลืม