“ศ.ดร.นฤมล” นำทัพว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.โซนธนบุรีเหนือ เปิดเวทีปราศรัย ขอโอกาสเลือก พปชร.ทั้งคนทั้งพรรค ลั่นส่งนโยบายสวัสดิการคนเมืองให้ชาว กทม.
วันที่ 1 เม.ย.66 พรรคพลังประชารัฐ จัดเวทีปราศรัยย่อยโซนธนบุรีเหนือ “พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ” ที่ สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 โดยมีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ,ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ดูแลกำกับการเลือกตั้งพื้นที่ กทม.และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 5 เขต ประกอบด้วย นายอนุชาญ กวางทอง เขตบางขุนเทียน (เฉพาะแขวงท่าข้าม) เขตจอมทอง (ยกเว้นแขวงบางขุนเทียน), นายศันสนะ สุริยะโยธิน เขตธนบุรี (ยกเว้นแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจีและแขวงบางยี่เรือ) เขตคลองสานเขตราษฎร์บูรณะ (เฉพาะแขวงบางปะกอก), น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน เขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง), น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ เขตบางกอกน้อย (เฉพาะแขวงศิริราช) เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ (ยกเว้นแขวงบางหว้า แขวงบางแขวงบางด้วนและแขวงคลองขวาง) เขตตลิ่งชัน (เฉพาะแขวงบางเชือกหนัง) เขตธนบุรี (เฉพาะแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจีและแขวงบางยี่เรือ) และ นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย (ยกเว้นแขวงศิริราช)
ศ.ดร.นฤมล กล่าวปราศรัยบนเวทีว่า วันนี้ดีใจที่ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ ได้มาพบกับชาวฝั่งธน เมื่อปี 62 เราได้รับความเมตตาจากชาวฝั่งธนเลือกผู้สมัครจากพรรคของเรา ในปีนี้เราก็ขอความเมตตาอีกครั้ง แต่ขอเพิ่มเติมอีก 5 เขต นโยบายของพรรคเราครั้งนี้ เป็นพรรคการเมืองแรกที่พูดถึงการดูแลสวัสดิการของพี่น้องประชาชนชาวไทยไม่เคยมีใครพูดถึงมาก่อน ทุกพรรคการเมืองต่างนำถึงรัฐสวัสดิการทั้งหมด แต่เราคือภาพแรกที่เรียกว่า สวัสดิการประชารัฐและเราไม่ใช่แค่พูด แต่พรรคได้ดำเนินการมาต่อเนื่อง ในการทำบัตรประชารัฐขึ้นตั้งแต่ปี 61 โดยเริ่มต้นจากการดูแลกลุ่มเปราะบางก่อนก็คือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีก็จะได้รับการดูแลจากภาครัฐ และในอนาคตบัตรประชารัฐ จะดูแลครอบคลุมคนไทยทั้ง 67,000,000 คน ไม่จำเป็นจะต้องมีรายได้น้อยก็จะได้รับการดูแล
ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ชาว กทม.ควรมีสวัสดิการคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลค่าน้ำ ค่าไฟ ดูแลเรื่องที่พักอาศัย เปลี่ยนจากค่าเช่าบ้านไปกลายเป็นเงินผ่อนบ้านในนโยบายบ้านประชารัฐ 360 องศา รวมไปถึงค่าเดินทาง ค่าไฟ ที่เป็นภาระในการใช้ชีวิตแต่ละวัน ซึ่งผู้สมัคร กทม.ของพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจปากท้องของชาวกทม.จึงได้มาพูดคุยกันว่า จะใช้วิธีการใดที่จะไม่เกิดเป็นภาระต่อภาษีของประชาชน และมุ่งเน้นให้ประชาชนกินดีอยู่ดีอย่างยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก เราต้องหาแหล่งเงินเพื่อพัฒนาประเทศ
“เราจึงได้ข้อสรุปว่าจะใช้ศักยภาพของตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศด้วยการส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกองทุนที่จะมาพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise (SE) ที่มีพระราชบัญญัติรองรับอยู่แล้ว นำมาพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยกลไกของตลาดทุนจะเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามากขึ้น แทนที่เราจะเก็บภาษีคนรวยมาช่วยคนจน เราก็ให้คนที่มีเงินเหลือใส่เงินผ่านกองทุนแล้วใช้กลไกกำกับดูแลให้ SE ลงไปทำงานในพื้นที่ก็จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” ศ.ดร.นฤมล กล่าว
ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า การดำเนินงานดังกล่าวเป็นแนวทางที่หลายประเทศได้นำไปใช้แล้วเปิดให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมการแก้ไขปัญหาก็จะยั่งยืน ดังนั้นกองทุนดังกล่าวก็จะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มในท้องถิ่น เกิดขึ้นโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ก็จะเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ หรือ ธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยใช้แหล่งเงินจากส่วนนี้ทำให้เกิดการพัฒนาในท้องถิ่น กระจายความเจริญสู่ต่างจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะพื้นที่ กทม.แต่พรรคพลังประชารัฐ จะใช้กลไกนี้ทั่วประเทศ
“การเลือกตั้งครั้งนี้มีการใช้บัตร 2 ใบ ผู้สมัครกับพรรคใช้คนละเบอร์กัน ต้องขอให้พี่น้องทุกคนจดจำหมายเลขของผู้สมัครให้ดี พรรคพลังประชารัฐ เรามองไปถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไม่ได้ต้องมาแข่งเรื่องตัวเลขว่าพรรคการเมืองใด ใครให้มากน้อยกว่ากัน แต่เราต้องการสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนทุกคน เราจึงต้องขอโอกาสประชาชนให้เลือกทั้งคนทั้งพรรค เพื่อที่เราจะเข้าไปสานต่อนโยบายดี ๆ เพื่อคนไทยทุกคน” ศ.ดร.นฤมล กล่าว
ด้าน นายศันสนะ ได้กล่าวกับประชาชนว่า จากอดีตตนเคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.ในปี 62 มาวันนี้ ตนยังเป็นศันสนะ สุริยะโยธิน ศันคนเดิม ของคนคลองสาน,ธนบุรี และราษฎร์บูรณะ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ตนทำงานโดยตลอด ไม่เคยทอดทิ้งกัน ซึ่งตนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารพรรคให้ดูแลพื้นที่เรื่อยมา โดยเน้นไปที่พี่น้องกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ก็ถือว่าได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในช่วงวิกฤติการณ์โควิด 19
“วันนี้สิ่งที่ผมต้องการจะผลักดันให้กับชาว กทม.ก็คือการสร้างงาน สร้างอาชีพ หาเงินทุน แก้ปัญหาปากท้อง นโยบายกองทุน SE ไม่ใช่นโยบายขายฝัน เราทำได้จริง และเราพร้อมจะผลักดัน Soft Power ด้านการท่องเที่ยว ให้มีคนเข้ามาเที่ยวในชุมชน ในเขต รวมถึงผลิตสินค้า หรือบริการประจำถิ่นมาขาย โดยพรรคพลังประชารัฐ จะเพิ่มความเป็นได้ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนให้ง่ายขึ้นด้วยกองทุน SE เพื่อที่คนรุ่นใหม่หางานได้ คนรุ่นใหญ่มีงานทำ