ทิดแจ๊ส อดีตมิสทิฟฟานี่ เปิดใจปมสึก หลังเคยลั่นวาจาจะเป็นพระตลอดชีวิต
ทิดแจ๊ส อดีตมิสทิฟฟานี่ / อดีต Miss Tiffany 2009 เวทีประกวดความงามสาวประเภทสอง ‘แจ๊ส สรวีย์ รวีรัฐฐากรณ์’ ที่ตัดสินใจบวชเป็นพระนานถึง 9 ปี และมุ่งมั่นศึกษาพระธรรมวินัยอย่างจริงจัง ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 65 ที่ วลีรัตน์ คลีนิค สยามสแควร์วัน “ทิดแจ๊ส” ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนถึงสาเหตุการลาสึกออกมาครั้งนี้ ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ
ตัดสินใจลาสิกขาออกมา? “ใช่ครับ สึกมาได้ 20 วันครับ กลับมาประเทศไทยได้สัก 2 อาทิตย์ครับ ผมบวชทั้งหมด 9 ปี ครั้งแรก 2 ปี สึกออกมา 1 วัน แล้วบวชต่ออีก 7 ปี รวมทั้งสิ้น 2 ครั้ง 9 ปี แล้วไปอยู่อินเดียก็ไปๆ มาๆ ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมาครับ”
ณ ตอนที่เป็นพระเป็นยังไงบ้าง? “การใช้ชีวิตตอนเป็นพระผมรู้สึกง่าย และมีความสุขมากสมปรารถนาที่อยากไปอยู่ในวิถีชีวิตที่เรียบง่าย หลีกเล้น ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ชีวิตพระเรียบง่ายจริงๆ ตื่นเช้าสวดมนต์ ทำวัตร ภาวนา ฉัน 2 มื้อ การแต่งกายก็ชุดเดียว 3 ผืน สบง อังสะ จีวร ง่ายไม่ต้องรีด ไม่ต้องอะไร ดีหมดเลยครับ และผมได้มีเวลาทบทวนอยู่กับตัวเอง กับอดีตที่ผ่านมา ข้อผิดพลาดเรื่องราวต่างๆ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นล้วนแล้วเกิดจากเราทั้งสิ้น ไม่ใช่เพราะคนอื่น พอเห็นมันก็ได้ทบทวน และยอมรับตัวเอง แล้วก็แก้ไข ก็กลายเป็นกลับมาแล้วมีชีวิตที่ดีมากๆ เพราะพุทธศาสนาครับ”
ตอนนั้นรู้ไหมว่ากิเลสไหนตัดได้ อันไหนไม่ได้? “ได้ความเกลียดชังที่ลดลงเลย เห็นได้อย่างชัดเจน พอจะรู้สึกโมโหก็ลูบหัว เห้ยเป็นพระนะ พอลูบหัวแล้วรู้สึกว่าเป็นพระนะ เราจะโกรธใครไม่ได้ เมตตานะ ความเป็นพระช่วยได้อย่างสุดๆ จริงๆ พอมาทบทวนในความเป็นพระ ก็สุดจริงๆ ครับ”
ความรู้สึกนั้นติดกลับมาในขณะเป็นฆราวาส? “ผมว่าติดกลับมาครับ ในระยะเวลาแรกที่สึกไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน ว่าเรายังมีจิตใจความเป็นพระอยู่ ก็ค่อยๆ ปรับ กลับมาใช้ชีวิตปกติ ศีล 5 ศีล 8 ก็ไม่ต่าง แต่ระหว่างพระกับโยมต่างกันสิ้นเชิง”
เคยลั่นวาจาว่าจะบวชไม่สึก? “ใช่ครับ ตอนบวชครั้งแรกก็ลั่นวาจาไว้ว่าจะบวชไม่สึก แต่ในที่สุดก็อยู่ไป 2 ปี แล้วก็สึก แล้วสึกวันเดียว รุ่งขึ้นก็บวชต่อเลย ก็อยู่ต่อมาได้ 7 ปี ซึ่งรวมเป็น 9 ปี ถามว่าทำไมวันนี้สึก ก็ยังมีจิตใจเดิมที่จะบวชอยู่ สึกออกมาเพราะมีภาระบางอย่างติดค้างอยู่ ก็ออกมาเคลื่อนภาระนั้นให้เสร็จ แล้วเดี๋ยวจะกลับไปบวชใหม่ ยังรักพุทธศาสนา รักวัดของผมอยู่ที่อินเดียชื่อวัดเมตตาพุทธาราม มีพุทธคยาเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่นั่น เป็นสถานที่สำคัญของโลกครับ”
บวชตั้ง 9 ปีแล้ว? “9 ปี ผมก็ได้ประโยชน์จากพุทธศาสนาเยอะมาก วิถีชีวิตพระในต่างประเทศไม่ได้สะดวกสบายเหมือนในประเทศไทย ไม่ใช่ว่าผมหมายถึงพระในประเทศไทยอยู่สะดวกสบายไม่ขัดสน ก็ยังมีที่ลำบาก แต่ว่าการอยู่ต่างประเทศมันค้านกันสิ้นเชิง ผมเห็นปัญหาเหล่านั้น แล้วพอสึกมาก็ยังอยากช่วยซัพพอร์ตในส่วนของการบริหารกิจการภายในวัดก็ดี การช่วยดูแลพระภิกษุ สามเณร แม่ชี ที่อยู่ที่นู่นกิจนิมนต์ต่างๆ ไม่เหมือนกับบ้านเรา ถ้าผมอยู่ก็ยังพอช่วยดูแลได้ ไม่ใช่เป้าหมายหลักนะครับ แต่อย่างน้อยให้ท่านมีกำลังใจในการบำเพ็ญสมณธรรม เพราะว่าที่นั่นการเดินทาง อาหารต่างๆ ก็ต้องใช้เงินทั้งสิ้น อยากให้พี่ๆ ช่วยกันสนับสนุนพระภิกษุ สามเณรไทยที่ไปอยู่ที่นั่น ช่วยกันนะครับ”
พระภิกษุ เณร ที่อยู่ที่นั่นดำรงชีวิตยังไง? “พระภิกษุ สามเณรที่อยู่มี่นั่นโชคดีว่าค่าเงินต่ำกว่า ค่าครองชีพต่ำกว่าบ้านเรา ทำให้ง่ายต่อการครองชีพ ภาระพระเณรที่อยู่ต่างประเทศก็มีแค่ค่าเดินทางครับ ผมเองก็มีโปรเจ็กต์ คือตอนนี้เป็นฆราวาสก็ทำงานง่ายขึ้น โปรเจ็กต์ก็จะรวมกับเว็บไซต์ ให้คนไทยและคนต่างชาติร่วมทำบุญให้วัดไทยในอินเดีย และกระจายเงินส่วนนี้ให้กับวัดต่างๆ เพื่อไว้สำหรับบูรณะปฏิสังขรณ์ และถวายจตุปัจจัยให้แก่พระ เณรที่อยู่ที่นั่น ไม่ได้สูงไปหรือให้ต่ำไป ให้เพื่อดำรงชีวิตได้ไม่ลำบาก ผมเคยลำบากมาครับ”
แล้วภาระที่ทำให้ต้องสึกออกมาคืออะไร? “เป็นภาระสำคัญ ส่วนตัวนิดนึง ในอนาคตผมอาจจะมาบอก แต่ตอนนี้ขอเวลาอีกนิดหนึ่ง เป็นเรื่องส่วนตัวที่บ้านนิดนึงครับ (ใช้เวลาแก้ไขนานไหม?) ไม่นานครับ มันไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นภาระคั่งค้างมานาน ตั้งใจไว้ว่าไม่น่าเกิน 1 ปี จะกลับไปบวช คิดว่านะถ้าไม่หลุดแผน แต่ผมก็ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกธรรมชาติดีกว่า ถ้าผมปล่อยตัวเองเกินไป ก็จะไม่ดีสำหรับผม”
มีดราม่าว่าเหตุผลที่สึก เป็นเพราะผู้ชายมาติดพัน? “ยังไม่มีใครเลยครับ แต่มี 3-4 คนทักมาในอินบ็อกซ์มาจีบครับ แต่ผมไม่ได้ปักธงว่าจะต้องมีใคร อาจจะเห็นผมหล่อก็ได้ (หัวเราะ) เนื้อหอมครับ ทิดสึกใหม่เนื้อหอม”
กลัวไหมว่าสึกมาแล้วจะเตลิด ไม่กลับไปบวช? “4-5 วันนี้ผมเที่ยวทุกวันเลย เที่ยวแบบไม่ได้ปาร์ตี้นะ ไปพัทยา เจอพี่ๆ แต่ไม่ได้ดื่มนะ ก็ไปเที่ยวในแบบที่พระไม่ได้เที่ยว หลังจากสึกแล้ว 9 ปีที่ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนั้นได้เจอพี่เจอน้องที่สนิทกันมันเป็นยังไงบ้าง มันอิ่มมากๆ ครับ 2 วันก่อนผมไปเที่ยวคนเดียวที่เยาวราช ประตูผี ก็ดีนะครับ ผมโพสต์ไว้ด้วยทิดแจ๊สหลงแสงสีไม่กลับไปบวชแล้วมั้ง (หัวเราะ) หลวงพ่อถือไม่เรียวรอเลย แซวตัวเองครับ ก็คิดถึงแต่ไม่ได้โหยหา ก็แค่อยากกลับไปดูมันว่าเราจะรู้สึกยังไง ผมได้มีโอกาสไปดูประกวดทิฟฟานี่ด้วย ดูโชว์ ดูอาคาซ่า อิ่มใจมาก ผมไม่คิดว่าจะได้รับความรักความเมตตาเหล่านั้นกลับมา”
“ถ้าจำได้ปี 2009 ผมมีปัญหา ผมมีข่าวที่เป็นเนกาทีฟเยอะมาก มีผลกระทบต่อองค์กร ต่อทิฟฟานี่ ต่องาน ผมเป็นพลังงานลบคนหนึ่งเลย ผมยังคิดว่าผมกลับมาครั้งนี้ผมได้อ้อมกอด ผมได้กอดคุณจ๋า พี่ๆ อดีตนางงาม พี่ๆ อดีตนางโชว์ ผมพูดด้วยความอิ่มใจจริงๆ ว่าทำไมเขาถึงให้อภัยเรา ทำไมเขาถึงเมตตาเราขนาดนี้ กำแพงที่ผมถูกสร้างขึ้นมันพังหมดเลยครับ จากที่คนเราจะให้อภัยมันยาก แต่มีคำพูดหนึ่งครับ ที่ทิฟฟานี่พูดกับผมว่า กลับมานะแจ๊สกับมาบ้านเรา (ร้องไห้) กลับมาบ้านเรานะแจ๊ส”
เป็นครั้งแรกไหมที่ได้ปลดล็อคกับทีมมิสทิฟฟานี่? “เป็นครั้งแรกเลยครับ ที่ผ่านมาตอนเป็นพระได้เพียงแค่ส่งข้อความหากัน ขอโทษกันผ่านข้อความ แต่การกลับไปครั้งนี้ผมกอดคุณจ๋า กอดพี่ๆ ทิฟฟานี่ ก็บอกว่าพี่ๆ ครับ คุณจ๋าครับ ที่ผมกลับมา ผมไม่ได้ต้องการทวงคืนอะไรนะ ตำแหน่งผมส่งต่อให้รองอันดับหนึ่งไปแล้ว ไม่ต้องให้คืนผม ตำแหน่งใดๆ ของผม ชื่อเสียงใดๆ ของผม ผมไม่ได้ต้องการคืนเลย แต่สิ่งที่ผมขอทวงคืน ผมอยากได้ความรัก ความเมตตาที่เคยให้ผมตั้งแต่ปี 2009 ผมอยากได้สิ่งนั้น คำตอบก็คือผมได้มันจริงๆ ได้มาด้วยใจที่บริสุทธิ์จริงๆ เราจะรู้สึกได้เลยครับเวลาเรากอดใคร เราสบตากับใคร มันไม่ได้มีผลประโยชน์อื่นใดมาทับซ้อน เพราะผมกลับไปในฐานะคนๆ นึง ไม่ได้กลับไปในฐานะของแจ๊ส ทิฟฟานี่ ไม่ได้มีตำแหน่ง ไม่มีมงกุฎ ไม่มีสายสะพาย มันอบอุ่นเหลือเกินครับ”
ได้คุยกับ “อ๊อฟ ชนะพล” กับ “ปอย ตรีชฎา” บ้างหรือยัง? “กับพี่อ๊อฟได้มีการส่งข้อความหากัน เพราะพี่อ๊อฟเป็นเพื่อนของพี่ชาย และเป็นเพื่อนของแฟนน้องสาว ก็จะส่งข้อความหากัน พูดคุยกัน แต่ยังไม่ได้เจอตัว ก็อยากจะมีโอกาสได้เจอกับพี่อ๊อฟ ส่วนพี่ปอยได้เจอกันที่เวทีทิฟฟานี่ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้เข้าไปคุย แต่ก่อนหน้านี้ได้ส่งข้อความคุยกันแล้ว และด้วยความที่เป็นคนพูดภาษาเดียวกัน คือพี่ปอยเป็นคนภูเก็ต ผมเป็นคนสงขลา ก็พูดภาษาเดียวกัน อาจจะเข้าใจกันง่ายขึ้น แต่ก็อยากมีโอกาสเจอกับพี่ปอย อยากกอดพี่ปอยครับ แต่ก็ได้เคลียร์กันแล้วในเบื้องต้นครับ”
ตอนนี้เป็นฆราวาสแล้วใช้ชีวิตยังไง? “ชีวิตฆราวาสยากครับ วันที่ตัดสินใจสึก ผมไปยืมชุดคนขับรถของวัด พออีกวันก็ต้องหาเสื้อผ้า เพราะเราไม่ได้เตรียมอะไรไว้ เพราะเป็นเรื่องด่วน ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากแล้ว ต้องมีเสื้อผ้าที่ใส่จะต้องแมตช์กัน ต้องมีรองเท้า เสื้อผ้าก็ต้องซัก ต้องรีด แม้แต่กางเกงในก็ต้องมี (หัวเราะ) เพราะตอนเป็นพระไม่ได้ใส่ ต้องกลับมาดูแลตัวเอง แม้แต่ผิวพรรณหน้าตาทรงผมก็ต้องตัดให้เรียบร้อย แต่ตอนเป็นพระพอ 15 วันก็โกนหัวทีนึง และที่สำคัญในเรื่องของเงิน การเป็นฆราวาสเราจะต้องแสวงหารายได้ สร้างอาชีพขึ้นมา เพื่อที่จะให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้”
“ผมก็วางแพลนไว้ก็คือรับทุกงานเลยในระหว่างนี้ อะไรที่มันเป็นรายได้ขึ้นมา แต่ขอเป็นอาชีพที่สุจริต และผมต้องไม่เบียดเบียนคนอื่น และมีโปรเจ็กต์กับเว็บไซต์ของบุญไทยนั่นเอง ซึ่งอันนี้จะเอื้อประโยชน์กับพุทธศาสนาโดยตรง อย่างที่บอกว่าพุทธศาสนาทำให้ชีวิตผมดีขึ้นได้ พัฒนาชีวิตและจิตใจของผมให้ดีขึ้นมาก มาวันนี้ผมสึกแล้วก็ต้องตอบแทนพุทธศาสนาบ้าง”
ถ้ามีงานที่จะต้องแต่งหญิง จะรับไหม? “เพิ่งมีเข้ามาครับ ของน้องนัทนิสา (หัวเราะ) เขาขอให้ผมไปเมคโอเวอร์ แต่งหญิง ผมก็บอกว่าขอไว้ก่อนได้มั้ย เดี๋ยวโดนไม้เรียวแน่ๆ (หัวเราะ) คือถ้าแต่งเอาฮา สนุกๆ ชั่วคราวน่ะได้ แต่ผมอาจจะขอเวลานิดนึง เพราะอาจจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมว่าสึกมาแล้วจัดหนักเลยเหรอ แต่งหญิงเลยเหรอ ผมเลยอยากจะขอระยะเวลาให้ค่อยๆ ปรับตัวกันนิดนึง อย่าเพิ่งกระชากกันแรงจนเกินไป”
มีกระแสว่าที่สึกมาเพราะต้องการกลับมาแต่งหญิง? “สภาพไม่ได้แล้วครับ (หัวเราะ) กล้ามแขน ขนต่างๆ มันจะออกไปสวยไม่ได้แล้ว แต่ถ้าหล่อก็ไม่แน่ (หัวเราะ) ขอหล่อก่อนครับ คือถ้างานเดินแบบ พิธีกรก็ได้ครับ ผมถนัดงานพิธีกรนะ เพราะตอนที่อยู่อินเดียผมก็ทำพิธีกรให้กับพระศาสนา เพราะฉะนั้นเรื่องแต่งหญิงขอเวลานิดนึงครับ อาจจะแต่งสนุกๆ ได้ หลายคนอาจจะอยากเห็นว่าจะกลับไปสวยเหมือนเดิมมั้ย (หัวเราะ) ก็ให้มันเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติดีกว่าครับ”
“ที่ผ่านมาชีวิตผมมีแต่เรื่องลบๆ มันเกิดจากตัวเราเอง แต่ผมว่ามันเป็นบทเรียนที่ดี ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้นผมอาจจะไม่ได้มายืนตรงนี้อย่างสง่างามด้วยความภาคภูมิใจ ผมเชื่อว่าหลายคนถ้าเป็นผมในวันนั้นยืนไม่ไหวหรอกครับ เพราะมันหนักจริงๆ ครับ ทุกอย่างโดนปิดกั้นหมด การที่จะก้าวลุกขึ้นมาได้มันยากจริงๆ แต่วันนี้ผมก้าวข้ามผ่านมันมาได้ ผมเชื่อในอานิสงส์ของหลักพระพุทธศาสนา เชื่อในการปฎิบัติธรรมที่ทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น”
ถ้าช่วง 1 ปีที่ยังเป็นฆราวาสเกิดมีความรักเข้ามา เราจะเปิดใจไหม? “ผมว่าผมน่าจะอยู่กับคนอื่นยาก รู้ตัวเลยว่าเป็นคนที่จะอยู่กับคนอื่นที่จะเป็นชีวิตคู่ยาก คนที่จะเข้ามาในชีวิตผมน่าจะต้องอดทนมาก เช่น ตอนเราเป็นพระต้องนอนคนเดียว อยู่คนเดียว ไปไหนคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว แต่ถ้ามีใครสักคนเข้ามาในชีวิต ผมก็ไม่รู้ว่าจะปรับตัวได้แค่ไหน หรือคนที่เข้ามาในชีวิตผมจะยอมรับผมได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็เคยมีคนดูดวงผมไว้นะ ว่าถ้าผมเจอรักแท้ผมจะสึก (ยิ้ม) แต่การสึกครั้งนี้ผมไม่ได้เจออะไรเลยนะ (หัวเราะ) อาจจะเป็นรักแท้ในรูปแบบอื่นมากกว่า อาจจะเป็นมิตรภาพ แต่รักแท้ในรูปแบบอื่นยังไม่มีครับ”
แสดงว่าก็ไม่ได้ปิดตัวเองเรื่องความรัก? “ผมว่าไม่ใช่แค่ผมครับ หลายๆ คนก็ต้องการความรักกันทั้งนั้น แต่ในจุดที่เราเติมเต็ม ชีวิตเรามีทุกอย่างครบ เราไม่ได้โหยหาสิ่งนั้น แต่เราก็ไม่ได้ปิดกั้นว่าถ้าวันนึงมีคนเข้ามาในชีวิตของเรา พร้อมที่จะเดินไปด้วยกัน พร้อมที่จะเรียนรู้ปรับตัวไปด้วยกันก็โอเคครับ จีบได้ (หัวเราะ)”
หลังๆ มีพระที่เป็น LGBTQ มากขึ้น ถึงจะเปิดกว้าง แต่ก็ยังมีเสียงวิจารณ์ว่าผิดหรือเปล่า? “ผมคงต้องขอเทียบในหลักการของพุทธศาสนา ซึ่งในทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วนจะมีกฎของเขาอยู่ ในทางพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน เราจะถือความเห็นของเราเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้ มันจะมีแต่พังครับ แต่ถ้าเอาหลักของพุทธศาสนาเป็นที่ตั้งว่าคนนี้บวชได้ บวชไม่ได้ตามกฎของพุทธศาสนา มันก็จะไม่มีปัญหา จริงๆ ผมเข้าใจนะเราในฐานะชาวพุทธ เราต่างคาดหวัง เราเกิดมาในขนบธรรมเนียมประเพณี ที่ปลูกฝังพุทธศาสนามาตั้งแต่เกิด แต่ผมก็อยากจะขอนิดนึงว่าความรักของเราอย่าให้กลายเป็นการทำร้ายกันเอง จนบางครั้งเมื่อเกิดอะไรขึ้นนิดหน่อยเราโจมตีกันโดยไม่มีเหตุผล”
“ทุกคนมีเหตุและผลของตนเองกันทั้งนั้น เราไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนผ่านอะไรกันมาบ้าง กว่าที่เขาจะบวชได้เขาต้องผ่านการยอมรับตัดสินใจ จึงไม่อยากให้ปิดกั้นโอกาสกันและกัน โอกาสเป็นของทุกคนครับ พุทธศาสนาให้โอกาสกับทุกคน ขอเพียงแค่ว่าการบวชเข้ามาให้ถูกต้องในหลักพุทธศาสนา ตอนที่บวชจะมีการพิจารณาอยู่แล้ว โดยพระอุปปัชฌาย์เอง จากคณะสงฆ์ ถ้าคณะสงฆ์ไม่คัดค้านว่าบุคคลนี้เป็นบุรุษนะ เป็นมนุษย์นะ ไม่มีคดีนะ คุณพ่อคุณแม่อนุญาตแล้วนะ ก็จะมีการถามทบทวนนี้อยู่ ถ้าเป็นไปตามกฎเหล่านี้ได้ผมว่าก็ไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้นครับ”
คิดยังไงกับคำพูดที่ว่า อาชีพพระ? “เอามุมมองตอนที่ผมเป็นพระนะครับ ก็รู้สึกสะเทือนใจนะ ว่าหลายคนมองว่าบวชเป็นพระเพื่อสร้างอาชีพ เพื่อหารายได้ แต่ถ้ามองย้อนกลับไป ไม่ง่ายนะครับ คนๆ นึงจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 ครึ่งถึงตี4 ตื่นมานั่งสวดมนต์ภาวนา มันง่วงนะครับ แต่ท่านอุตส่าห์ตื่นมาสวดมนต์ภาวนา ข้าวก็ทานได้แค่ 2 มื้อ บางวัดทานได้แค่มื้อเดียว แต่อนุโลมให้เป็นมื้อเช้ากับเพล ต่อให้มีตังค์มื้อเย็นก็กินไม่ได้ การใช้ชีวิตพระเหมือนจะง่าย แต่ไม่ง่าย ถ้ามันเป็นอาชีพจริงๆ คนจะแห่แหนไปบวชกันเยอะมาก จะไม่มีคนประกอบอาชีพอื่นใดเลย แต่ทุกวันนี้เปอร์เซ็นต์พระที่บวชในพุทธศาสนาน้อยลงมากๆ ครับ ก็ขอว่าอย่าไปผูกยึด อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์จนเป็นการทำร้ายกันเลยครับ”