.jpg?ip/crop/w1200h700/q80/jpg)
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มสงครามการค้ากับสามพันธมิตรการค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (4 มีนาคม 2025) ส่งผลให้เม็กซิโก แคนาดา และจีน ออกมาตอบโต้ในทันที การทำสงครามการค้าของทรัมป์ในครั้งนี้ส่งผลให้ตลาดการเงินตกต่ำ เนื่องจากสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับการคุกคามจากเงินเฟ้อที่อาจกลับมาและความไม่แน่นอนทางธุรกิจที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น
หลังเที่ยงคืน ทรัมป์ได้กำหนดภาษี 25% หรือภาษีศุลกากรบนสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา และลดภาษีลงเหลือ 10% สำหรับพลังงานจากแคนาดา นอกจากนี้ยังเพิ่มภาษีจากสินค้าจีนเป็น 20% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสองเท่าจากเดิม
ปักกิ่งตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสูงสุดถึง 15% กับสินค้าการเกษตรของสหรัฐฯ และขยายจำนวนบริษัทของสหรัฐฯ ที่ถูกควบคุมการส่งออกและข้อจำกัดอื่นๆ อีกประมาณสองสิบราย
ด้านจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ออกมาระบุว่าแคนาดาจะเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ภายใน 21 วัน
“วันนี้สหรัฐฯ ได้เปิดสงครามการค้ากับแคนาดา ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของพวกเขา ในขณะเดียวกัน พวกเขากำลังพูดถึงการทำงานร่วมกับรัสเซีย โดยพยายามทำให้วลาดิเมียร์ ปูติน พอใจ” ทรูโดกล่าว
ฮาวเวิร์ด ลัตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ น่าจะมีการเจรจากับแคนาดาและเม็กซิโก “เพื่อหาจุดตรงกลาง” โดยอาจมีการประกาศในวันพุธนี้ ทั้งนี้ ลัตนิกยังระบุว่าจะไม่มีการระงับภาษีแต่ทรัมป์จะหาทางประนีประนอม
ขณะที่ประธานาธิบดีเม็กซิโก คลอเดีย ไชน์บาม ชี้ว่าเม็กซิโกอาจพิจารณาการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีเช่นกัน และจะประกาศสินค้าที่จะเก็บภาษีในวันอาทิตย์นี้ อย่างไรก็ตาม การชะลอการประกาศนี้อาจบ่งชี้ว่าเม็กซิโกยังคงหวังที่จะลดความตึงเครียดในสงครามการค้าของทรัมป์
ทรัมป์กำลังละทิ้งนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่สหรัฐฯ ใช้มานานหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยอ้างว่าการค้าเสรีทำให้สูญเสียงานในโรงงานหลายล้านตำแหน่ง และเชื่อว่าภาษีจะนำพาความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศ เขาปฏิเสธความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ที่มองว่าการคุ้มครองการค้ามีค่าใช้จ่ายสูงและไม่มีประสิทธิภาพ โดยกล่าวว่าภาษีศุลกากรเป็น “อาวุธที่มีพลัง” ที่นักการเมืองไม่เคยใช้มาก่อน