พิธีกรแถวหน้าของเมืองไทย ต๋อย ไตรภพ ที่วันนี้จะมาเปิดเผยชีวิตครอบครัวสุดแสนจะอบอุ่น และเส้นทางความรักกับภรรยานอกวงการ แตง พิจิตตรา ที่รักกันมานานกว่า 40 ปี พร้อมอัปเดตอาการป่วยมะเร็งเต้านมของเธอ พร้อมทั้งย้อนเล่ามรสุมชีวิตการทำงาน หยุดงานไปนานเกือบปี ผ่านทางรายการคุยแซ่บShow ทางช่อง วัน31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์, หนิง ปณิตา และ อาจารย์เป็นหนึ่ง เป็นพิธีกร
ภรรยาของคุณอาชื่ออะไร?
อาต๋อย : “ชื่อ แตง เราอยู่กันมา 40 แล้วครับ แต่ถ้านับจริงๆ ไม่ได้ 40 แต่เกือบ 50 เพราะว่าก่อนจะแต่งงานผมรักกันมาก่อนเป็น 10 ปีแล้ว คือผมไปเกาะพะงัน แล้วผมก็ไปยืนอยู่ตรงชายหาด ตอนนั้นผมยังเด็กมากอายุประมาณ 16-17 แล้วเห็นผู้หญิงคนนึงใส่กางเกงขาสั้น ขาสวยมาก แล้วตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้อยู่กับขาเขานั้นแหละครับ”
การจีบของอาเป็นยังไง?
อาต๋อย : “สมัยก่อนยากจริงๆ นัดเวลาโทรเจอกัน บอกว่าเวลานี้จะโทรก็ต้องเวลานี้เป๊ะๆ แล้วถ้าจะนัดเจอกันที่ไหนก็ต้องเป๊ะๆ ซึ่งถ้าถามว่ารักแรกเลยหรือเปล่า เขาคือรักแรก”
อามีแฟนคนเดียวมาตลอดชีวิต?
อาต๋อย : “ไม่ใช่ครับ มีแฟนหลายคนมาก เยอะแยะ เต็มไปหมด เพียงแต่ว่ารักนี่ รักเขาคนแรก สมัยก่อนผมเป็นหนุ่มที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่ได้น่ารักมากนัก เจ้าชู้ จีบนู่น จีบนี่ จีบนั่น แต่เขาเป็นผู้หญิงที่เก่งมากๆ เขาไม่สนใจอะไรเลย ไม่เคยพูด ไม่เคยถาม ไม่เคยยุ่ง เคยเจอเรากับอีกคน เขาเดินมาเห็นเราแล้วอมยิ้ม เดินซื้อของต่อ ซึ่งพอไปเจอเขา เขาไม่พูดอะไรเลย เขาพูดคำเดียวว่าผู้หญิงคนนั้นเขารู้จัก เขาเป็นคนดีนะ ถ้าไม่รัก ไม่ชอบเขาจริง อย่าไปยุ่งกับเขา เราก็เลิกกับผู้หญิงคนนั้น แต่เขาไม่ได้บอกให้เลิกนะ ซึ่งโดยตัวเขาเองเรื่องหึงหวงไม่เคยมีตั้งแต่ต้นยันปลายไม่เคยมี”
เคยคบซ้อนมากสุดกี่คน?
อาต๋อย : “7 คน ถ้านับแตงด้วย 8 สมัยนั้นบ้านเมืองมันไม่ได้เป็นอย่างนี้ ต้องย้อนกลับไปเกือบ 50 ปี มันไม่เหมือนสมัยนี้นะพอคบกันปุ๊บต้องฟีเจอร์ริ่งกัน ไม่ใช่ๆ มันไม่มีทางเลยครับ แต่ถามว่าคุยกันไหม คิดถึงไหม อย่างนู่น อย่างนี้ มันล้านเปอร์เซ็นต์อยู่แล้วครับ”
แล้วอะไรที่ทำให้อาขอพี่แตงแต่งงาน?
อาต๋อย : “แตงเป็นผู้หญิงมหัศจรรย์สำหรับผม ผมคิดว่าเวลาผู้ชายคนนึงจะเลือกผู้หญิงสักคน ต้องเลือกว่าเวลาเราจนที่สุด หรือลำบากที่สุด หรือเราเป็นอะไรที่สุด เขาจะเป็นยังไง เขาเป็นคนอย่างนั้นให้กับผม วันนึงผมกำลังจะไปงานปีใหม่ เย็นนี้ไปรับเขาที่บ้านแล้วไปเที่ยวปีใหม่กัน เขาบอกรอก่อนเขาทำขนมพายสับปะรดขาย เขาบอกวันนี้วันดีขายได้แพง เราก็เลยคิดว่ามันจะมีผู้หญิงแบบนี้สักกี่คน”
ฟังดูก็หวานดี แต่ทำไมพอแต่งกันได้พักนึงทะเลาะกันบ่อย?
อาต๋อย : “ผู้หญิงเขาแต่งเข้า เมื่อก่อนเราเจอกันแป๊บๆ พอเข้ามาอยู่ด้วยกันหลายๆ อย่างที่เขาไม่พอใจเราเยอะมาก แล้วครอบครัวเราด้วย หลายอย่าง เขาก็ไม่ชอบใจ พอเขาโกรธเขาก็บอกว่าเลิกกัน ไปหย่ากันเลย ก็จะเป็นคำติดปาก หรือพอโกรธปุ๊บสิ่งแรกที่ทำเลยคือเก็บของจะกลับบ้าน ผมบอกเขาตั้งแต่ครั้งแรกเลยนะ ห้ามกลับบ้านเด็ดขาด ทะเลาะกันยังไงก็ตาม แต่ถ้าโกรธผมมากๆ ให้ไล่ผมออกจากบ้าน เพราะบ้านนี้เป็นบ้านเขา ผู้หญิงถ้าออกจากบ้าน ครั้งที่ ผมไปตาม ครั้งที่สองผมไปตาม ครั้งที่สมผมไม่ไปตามละจะกลับมายังไง จะกลับมาแบบเสียฟอร์ม หรือกลับมาแบบเป็นอะไรเหรอ ไม่มีค่าไม่ได้ เพราะเธอมีค่า พูดเสร็จเขาไล่ผมออกจากบ้านเลย”
อาเองก็จะมีเคล็ดลับของการครองเรือน จะมี 3 คำที่อาพูดประจำ?
อาต๋อย : “มันค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ ร่ำเรียน และเรียนรู้ ไม่ได้เป็นตั้งแต่แรกนะ ศึกษาไป ศึกษามาเรารู้อย่างนึงทั้งหมดที่มีเรื่องส่วนใหญ่เขารักเรา ซึ่งเวลาทะเลาะผมจะดูอุณหภูมิ และมันมีวิธีเดียวที่จะลดได้ คือ พี่ขอโทษ แล้วเดินออกไป คนเราเวลาทะเลาะกันมันจะยืนยันความเป็นตัวตนว่าเราถูกหรือเราเก่ง แล้วถ้าเราอยู่กันมาขนาดนี้แล้ว 40 ปีแล้วจะมายืนยันความเป็นตัวตนเพื่ออะไร ง่ายที่สุดคือพี่ขอโทษ”
แล้วมุมหวานๆ มีไหม?
อาต๋อย : “ไม่มีครับ แตงกับผมไม่มีมุมสวีท เขาไม่สวีทเลย ผมก็ไม่สวีท ไม่เคยมีดอกไม้วาเลนไทน์ ไม่เคยมีวันเกิด ไม่เคยมีวันอะไรทั้งสิ้น เขาไม่ใช่คนอย่างนั้น ผู้ชายจะทำต่อเมื่อผู้หญิงเรียกร้องหรือชอบ”
อาเป็นคนกลัวภรรยาหรือเปล่า?
อาต๋อย : “ไม่กลัวเลยครับ สาบานได้ ไม่มีกลัว ไม่มีเกรงอะไรทั้งสิน ผมรัก ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด แต่ฟังดีๆ อยากให้ทุกคนอาเคล็ดลับตรงนี้ไปใช้คนเราตัดสินปัญหาด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผล แต่ต้องเอาปัญญามาไกล่กรอง มาช่วยตัดสินในเหตุการณ์นั้นๆ”
แล้วทำไมถึงมีข่าวว่าแยกกันนอน?
อาต๋อย : “ไม่ใช่ข่าว แยกจริงๆ ผมกับภรรยาตั้งแต่แต่งงานมาไม่เคยนอนเตียงเดียวกันเลย แต่วิธีเขียนข่าวเขียนให้มันเท่ ความจริงผมกับภรรยาแยกเตียงกันตั้งแต่วันแต่งงานเลย ผมไม่เคยนอนเตียงเดียวกัน ผมไม่ชอบนอนกับใคร เขาก็ไม่ชอบนอนกับใคร คือต่างคนต่างนอน นอกจากจะฟีดเจอร์ริ่งกันก็อีกเรื่องนึง หลังๆ มาแยกเตียงไม่พอ แยกห้องอีก ต่อมาเด็ดกว่านั้นแยกบ้านเลย ตอนนี้อยู่กันคนละหลัง แต่ผมก็ไปหาเขาทุกวันนะครับ”
แต่ก็ยังรักกันดีอยู่?
อาต๋อย : “รักครับไม่มีไม่รัก การแยก แยกเพราะเหตุผลเราแก่แล้ว ต่างคนต่างมีอิสระ”
คนแรกที่เปิดประโยคนี้ที่บอกว่าเราแยกกันนอนเถอะ?
อาต๋อย : “เอาจริงๆ เลยผมเป็นคนพูด แต่ไม่ได้พูดว่าแยกกันนอน ผมพูดว่านอนสบายหรือเปล่า ตั้งแต่ก่อนที่จะแต่งงานกันไปดูเครื่องนอน ต่างคนต่างบอกว่าเตียงเดี่ยวนี่ดีเนอะ ก็นอนเตียงเดี่ยว พอมาวันนึงของมันเยอะขึ้น เธอๆ ฉันไปนอนห้องนี้นะ”
พี่แตงป่วย?
อาต๋อย : “อยู่ๆ วันนึงกลับมาบ้านเขาก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร เขาก็บอกว่าพี่ แตงเป็นมะเร็ง พอผมได้ยินปุ๊บผมก็ถามว่าที่ไหน เขาบอกที่หน้าอก ได้หมอหรือยัง ถ้าไม่ได้หมอเอาหมอเราก็ได้ หรือเธอจะเชื่อหมอเธอก็แล้วแต่เธอ เขาบอกได้แล้ว เดี๋ยวไปดูก่อน จบ เย็นนี้กินอะไร แค่นั้น เขาเข้มแข็งมาก”
คุณอามีวิธีจัดการกับความรู้สึกนั้นได้ยังไง?
อาต๋อย : “คนเราเกิดมาก็ต้องตาย มันตายเมื่อไหร่ ตายวิธีไหนก็แค่นั้นเอง มันยังไงก็ต้องตาย ยายผม ผมรักที่สุดในโลก เพราะยายเลี้ยงผมมา เพราะพ่อผมตายตั้งแต่ 5 ขวบ ผมเป็นคนเดียวทั้งตระกูลที่ยายรักที่สุด และที่ไม่ร้องไห้อยู่คนเดียว ก็ยายผมต้องตายอ่ะ เราทำดีที่สุดแล้ว ดูแลท่านอย่างดีที่สุดแล้ว แค่นั้นเอง”
ทางฝั่งลูกๆ ล่ะ?
อาต๋อย : “ลูกตลกมาก พอมันผ่านไปหลายๆ วัน แตงต้องบอกลูกนะ เดี๋ยวพอเกิดอะไรขึ้นมาเดี๋ยวลูกหาว่าเราปิด โอเคนัดประชุมกัน ลูกชายคน ลูกสาวคน นั่งเราก็บอกแม่เป็นมะเร็งนะลูกนะ เขาก็บอกอะไรๆ เขารักของเขามาก ลูกสาวก็ร้อง แต่ไม่ถึง 30 วิเขาก็หยุด แล้วไปคุยเรื่องรักษาต่อ ตอนแตงไปรักษามะเร็งเป็นปี ผมได้ไปกับเขาหนเดียว คือครั้งแรกที่เขาไปบอกหมอ หมอบอกต้องทำยังไง หลังจากนั้นมาจนเขารักษาหาย ผมไม่ได้ไปเลย เขาไม่ให้ไป เขาบอกเธอไม่ต้องไปรำคาญ ขี้เกียจต้องมานั่งห่วงตัวเอง ดูแลตัวเอง ตอนให้คีโม แล้วไหนจะต้องมานั่งห่วงเธอ แล้วการให้คีโมผมร่วง แล้วคน 4 คนมาอยู่ในห้องน้ำด้วยกัน ลูก 2 แล้วผมเป็นคนโกนผมให้เขา เพราะผมมันร่วง แล้วก็ต้องไปซื้อวิกมา วิกมีหลายขนาดนะ คนไม่เคยเห็นไม่รู้หรอก แต่ถ้าทำร่วมกัน ด้วยจิตใจแบบนั้นทุกอย่างมันดีหมด”
ถ้าพี่แตงดูอยู่ อาอยากบอกอะไร?
อาต๋อย : “น้อยๆ หน่อย ก็ไม่มีอะไรจะบอก ถ้าจะบอกคือเธอโอเค”
ตอนนี้พี่เขาหายหมดแล้ว?
อาต๋อย : “หายแล้วๆ กับมะเร็งอย่าไปไว้ใจมัน หลังจากวันที่หมอบอกว่าหายแล้ว อีก 5 ปีดูกันมา ทุกๆ 6 เดือน หรือ 3 เดือนไม่รู้ เขาจะต้องไปหาหมอ”
อาทำงานเยอะขนาดนี้ อาแบ่งเวลายังไง?
อาต๋อย : “ไม่ได้แบ่งอะไรเลย งานมีก็ทำ ไม่มีก็กลับบ้านจบ”
อันนี้จริงหรือเปล่าที่อาต้องลงคิวในการกินข้าวกับครอบครัว?
อาต๋อย : “ใช่ๆ จริง เลขาก็จะรู้ ผมไม่รู้คิวตัวเอง ผมไม่ใช่คนที่มีคิวแล้วรู้คิวตัวเองนะ ผมไม่อยากรู้ เพราะงานผมมันเยอะมาก ไม่มีความจำเป็นต้องไปรู้มัน เขาจะบอกผม วันนี้ต้องทำอะไรบ้าง 1-2-3-4-5 ถ้าเสร็จแล้วเขาจะบอกว่าวันนี้จบแล้ว ก็กลับบ้าน ผมทำแบบนี้มาตลอดชีวิต”
เคยมีไหมครอบครัวบ่นเรื่องนี้ ไม่ค่อยมีเวลาให้เลย?
อาต๋อย : “เดิมทีตอนแต่งงานกัน ผมถามแตงว่าจะเลือกชีวิตแบบไหน มีบ้านหลังเล็กๆ หลังนึง มีที่หน้าบ้านนิดหน่อย มีรถคันเล็กๆ คันนึง พี่เช็ดรถแฮปปี้มีความสุข กับบ้านหลังใหญ่ๆ แล้วมีรถหลายคัน ผมถามเขา เขาบอกเลือกอย่างหลัง เขาบอกโอเค ผมทำให้ ผมมีความมั่นใจตั้งแต่ไหน แต่ไรแล้วว่าผมทำได้ วันนึงผมมาสร้างบริษัท จนกระทั่งมันเยอะขึ้น เขาก็ถามว่าพอหรือยัง ให้หยุด ผมบอกหยุดไม่ได้ เขาบอกว่าเธอเลือกงานมากกว่าครอบครัวแล้วนะ ผมบอกใช่ แล้วเขาบอกว่าระหว่างงานกับครอบครัวเธอจะเลือกอะไร ผมก็บอกว่าเลือกงาน เขาพูดว่าทำไมถึงพูดอย่างนี้ เธอเป็นคนทำให้มันเกิด ผมก็ย้อนหลังเล่าเรื่องนี้เขาก็นึกได้ ฉันขี่หลังเสือแล้ว ฉันลงไม่ได้ ฉันต้องเลี้ยงคน เมื่อก่อนฉันเลี้ยงคนอยู่คนเดียวคือเธอ ต่อมาฉันต้องเลี้ยงคนอีก 50 คน 100 คน แล้ววันนึงเธอบอกให้เลิกเลี้ยงคนพวกนี้ฉันเลิกไม่ได้ ต้องบอกให้เขาเข้าใจ”
ติดตามรายการคุยแซ่บ Show ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama