ตู่ นพพล เผยมรสุมชีวิตลูกใหญ่ในการทำงาน เตรียมแผนเกษียณไปอยู่กับธรรมชาติ

Home » ตู่ นพพล เผยมรสุมชีวิตลูกใหญ่ในการทำงาน เตรียมแผนเกษียณไปอยู่กับธรรมชาติ


ตู่ นพพล เผยมรสุมชีวิตลูกใหญ่ในการทำงาน เตรียมแผนเกษียณไปอยู่กับธรรมชาติ

อาตู่ นพพล เผยมรสุมชีวิตลูกใหญ่ในการทำงาน เตรียมแผนเกษียณวางมือเป็นผู้จัดละคร ไปอยู่กับธรรมชาติ ลั่นไม่ทิ้งงานแสดง

นักแสดงและผู้กำกับระดับตำนาน อาตู่ นพพล โกมารชุน ที่วันนี้จะมาย้อนเล่ามรสุมชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ของการทำงาน ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31 ที่มีหนิง ปณิตา และบูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

รู้สึกยังไงบ้างหลังจากไปเป็นผู้จัดแล้วกลับมารับงานละคร? “สนุกครับ สนุกที่ได้ทำงานกับคนใหม่ๆ คนรุ่นใหม่ และได้ทำงานกับนักแสดงที่มีความสามารถสูงมากหลายคนเลย รู้สึกเหมือนได้พุ่งพลังอย่างเต็มที่”

พอไม่ได้รับละครมานาน การที่ต้องมารับสักเรื่อง คุณอาเลือกยังไง? “เป็นคนที่ไม่เลือกบทมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชอบแสดง เป็นคนรักในการแสดงมาก มีใครอยากให้แสดงอะไรรับหมด แล้วมันยังมีอีกหลายบทบาทมากตั้งแต่แสดงมา 43 ปี ยังมีอีกเยอะบทที่เราไม่เคยเล่น แล้วก็อยากเล่นด้วย”

อาตู่เป็นคนที่เนี้ยบมาก 9 โมงคือ 9 โมง? “ก็จะเป็นอย่างนั้นครับ เพราะหน้าที่และการรับผิดชอบของนักแสดงคืออะไร เราจะต้องเน้นตรงนี้เป็นส่วนใหญ่ เริ่มตั้งแต่เวลาเขานัดมาก่อนเถอะ บทที่ตัวเองจะต้องเล่นท่องมาหรือยัง ที่สำคัญอีกอย่างสำหรับนักแสดงก็คือ มนุษยสัมพันธ์ บางคนเก่งแทบตายไม่มีงาน เพราะอะไร เพราะคนนี้นิสัยไม่ดี ไม่จ้างดีกว่าจะเป็นอย่างนั้น”

อะไรที่ทำให้อาตู่เป๊ะขนาดนี้? “กลัวโดนดุ สมัยเป็นนักแสดงแรกๆ ก็โดนดุจากคนที่อาตู่นับถือเป็นอาจารย์เลย ก็คืออาหลอง กับอาดุล นี่เป็นครูเลย นอกนั้นยังได้พี่เลี้ยงที่ถือว่าเป็นครู ผู้ปกครอง พี่เลี้ยงที่ดีก็จะมีพี่จิ๋ม มยุรฉัตร, พี่ก้อย ทาริกา, พี่ไก่ วรายุฑ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ดีมาก คือทุกอย่างไม่ได้ พูดตรง ดีไม่ดีนะด่าเลย”

เวลาการทำการบ้านของนักแสดงรุ่นใหญ่อย่างอา กฎของการทำการบ้านมีอะไรบ้าง? “เรื่องย่ออ่านให้ครบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดของเรื่องนี้เป็นยังไง รับบทมาดูบทเฉพาะที่เราพูดก่อน ต่อไปคือท่องบทของคนอื่น อันนี้สำคัญ นักแสดงบางท่านเขาจะไม่สนใจ ไม่งั้นเราไม่รู้ว่าคนที่เล่นด้วยจะพูดจบเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นเราต้องท่องบทเขาด้วย เสร็จแล้วจบ พร้อม ตอนนี้ก็เป็นเรื่องของการทำร่างกายละว่าเรื่องนี้จะใช้พลังมากแค่ไหน”

มีไหมนักแสดงบางท่าน หรือบางคนที่ไม่ไหวแล้วเรื่องระเบียบวินัย แล้วอาอบรม? “ในพาร์ทเป็นผู้จัดต้องคุย ต้องเตือน เพราะเราถือว่าตรงนี้มันเป็นการทำงาน แล้วมันเป็นอนาคตของเขาด้วย ถ้าเราไม่เตือน มันจะทำให้สิ่งที่เขาเป็นต่อไป มันไม่ดี”

เวอร์ชั่นที่ดุที่สุดของอาตู่เป็นประมาณไหน? “เดินออกจากกอง ไม่พูด จะพูดก่อน อธิบายให้เขาฟัง จูงใจให้เขาเห็นว่าทำไมถึงจะต้องเป็นอย่างนี้ ทำไมเราจะต้องปรับวิสัยของตัวเอง เพื่อที่เขาจะได้มีอาชีพนี้ต่อไป แต่ถ้าเขายังไม่ฟังอีก ถ้าเขายังเป็นตัวของเขาต่อไป ไม่พูดแล้วครับ”

แล้วพอเดินออกไปจากกอง สถานการณ์ตรงนั้นเป็นยังไง? “เขาใกล้ตายกันทั้งหมดกองถ่าย เขาจะเครียดกันมากทั้งทีมงานและนักแสดง ซึ่งเราไปสงบอารมณ์ก่อน เดี๋ยวเดินกลับมาเอง”

มันเคยถึงจุดอาละวาดไหม? “ไม่ครับ พยายามเก็บความรู้สึกตัวเองดีกว่า”

ในยุคที่อาเป็นผู้จัด ผู้กำกับฯ งานละครเฟื่องฟูมาก วันหนึ่งที่เราต้องย้ายจากที่ที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเราทำยังไงให้ไม่ทุกข์แล้วมีความสุขกับงาน? “มีช่วงเปลี่ยนถ่าย แล้วเกิดเหตุการณ์ค่อนข้างจะรุนแรงตอนนั้นกับบริษัท แทบจะล้มเลย เราก็เสียใจมาก เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราได้คนรอบข้างที่ดี ได้คู่ชีวิตที่ดี เราคุยกัน จับมือกัน สู้ต่อไหม สู้ต่อได้ เพราะฉะนั้นเราต้องทำใจให้นิ่งที่สุด เพื่อไม่ให้ทุกอย่างมันหนักหนาสาหัสกว่านั้น อาตู่จะไม่เหมือนนักแสดงคนอื่น อย่างบางคนเข้ามาตอนอายุ 25 มาจากอาชีพนู้นอาชีพนี้แล้วมาเป็นนักแสดง แต่อาตู่เกิดมาพ่อแม่เป็นนักแสดง พ่อ แม่เป็นนักพากษ์อยู่ในวงการ เราก็เลยรู้จักนักแสดงทั้งหมด รู้เหตุการณ์ในวงการทั้งหมด ก็เคยเห็นมาแล้วคนที่อยู่สูงสุดลงมาอยู่ต่ำสุด กับต่ำสุดขึ้นไปอยู่สูงสุดชีวิตเขาเป็นยังไง มันเป็นบทเรียนให้อาตู่ได้จำ เพื่อที่จะเอามาสอนตัวด้วย อย่างแม่เนี่ยไม่เคยสอนการแสดงเลย แต่แม่จะสอนเรื่องการใช้ชีวิตของการเป็นนักแสดง เพราะฉะนั้นเราเตรียมใจได้ เราทำใจได้”

การใช้ชีวิตของการเป็นนักแสดงที่ดีควรทำยังไง? “ทั้งหมดอยู่ที่การรับผิดชอบ แม่จะทำตัวให้เป็นตัวอย่างให้เราเห็นทุกวัน แล้วเราก็จะจำ”

แนวละครของอาตู่จะแฝงความดีในตัวตนของมนุษย์ โดยเฉพาะในเรื่องของการรักชาติ รักแผ่นดิน ทุกวันนี้ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ไหม? “ยังเป็นอยู่ครับ มันเหมือนเข้ามาในสายเลือดแหละ ทุกครั้งที่เราทำละคร เราต้องคิดก่อนว่าจะให้อะไรกับท่านผู้ชมมากที่สุด แล้วสิ่งที่ชอบนำเสนอ ชอบให้คนดูได้รู้ก็จะมีเรื่องเกี่ยวกับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และวัฒนธรรม อันนี้ชอบมาก ในยุคนี้เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้จักแล้วว่าวัฒนธรรมคืออะไร อย่างวัฒนธรรมของแต่ละภาคไม่มีคนเห็น เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามเสนอเข้าไป”

อาปรับตัวยังไงกับยุคปัจจุบัน? “มันก็เหนื่อยมากนะ เพราะบางทีสิ่งที่เราชอบมันไม่ถูกกับการตลาด แต่ก็ต้องพยายาม อย่างน้อยให้ได้แทรกไปสักนิดนึง หยอดเข้าไปสักหน่อย ต้องมีตลอด”

พอเป็นเรื่องวัฒนธรรมอย่างที่อาชอบ พอมายุคนี้มันเชย มันจิ้นดีกว่า อารู้สึกยังไงบ้าง? “ทำให้เราเกือบจะท้อ แต่ไม่ถึงกับท้อ อาชีพนี้ท้อไม่ได้ ยังไงเราก็ต้องทำ เรามานั่งคิดดีกว่าครับ เรามานั่งคิดให้หนักขึ้นไปอีก ทำงานให้เยอะขึ้นไปอีกว่าทำยังไงเราถึงจะสอดให้เขาดูได้ แล้วเขาชอบด้วย”

ตอนคุณอาเจอปัญหาหนักๆ ในชีวิต คนที่อยู่ข้างกายของคุณอาคือพี่นุช? “ครับ เราสองคนช่วยกัน เพราะถ้ามันมีอะไรกระทบขึ้นมากับบริษัทก็หมายถึงกระทบทั้งคู่ แต่พี่นุชเขาเป็นคนที่สู้ ถ้าไม่อย่างนั้นเขามาไม่ถึงตรงนี้หรอก ที่เขาสู้กับการเจ็บไข้ได้ป่วยของเขาทั้งหลาย เขาก็สู้มาเป็นเวลานานหลายปี เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาเราหันหน้าเข้าหากันก่อน คุยกันว่าเราจะแก้ปัญหายังไง แล้วก็เป็นกำลังใจให้กันและกัน”

อาการของพี่นุชตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? “ดีครับ ตอนนี้สุขภาพอะไรต่างๆ แข็งแรงขึ้นมาก จากที่เคยเดินไม่ได้อยู่ 2 ปี แล้วก็ไปรักษาจนกระทั่งเดินได้เดี๋ยวนี้ขยับตัวเร็วเกินไป ความที่เธอพลังเยอะ ไม่ค่อยจะระมัดระวังตัวเท่าไหร่ ต้องคอยดึงๆ ไว้บ้าง ตอนนี้ดีขึ้นมากๆ เลยครับ”

ให้กำลังใจกันยังไง? “เราก็อยู่ใกล้ชิดให้มากที่สุด เพราะคิดว่าการที่อยู่ใกล้ชิดกัน ได้กอดกันมันคือการส่งพลังให้กันและกัน”

เรื่องการทำงานอาต้องไปถ่ายในป่าตลอดเลย มีอุปสรรคอะไรเยอะไหม? “มีเยอะมากครับ มันเกิดขึ้นจาก อาตู่เป็นคนไม่ชอบถ่ายหนังในเมือง มันค่อนข้างน่าเบื่อมาก บางคนมาสายเพราะรถติด อะไรต่างๆ กว่าจะได้เริ่มงาน ในป่าเรามีชีวิตตรงนั้น มันอยู่กับความบริสุทธิ์ธรรมชาติ ถึงแม้ว่าปัญหาอุปสรรคมันจะเยอะมาก มีอยู่เรื่องหนึ่งถ่ายที่เชียงใหม่มันจะเป็นหน้าผามีลำธารที่ไหลแรงมากเขาก็เตือนแล้วบอกระวังนะ หน้านี้น้ำป่ามาแรง โอเคทุกคนก็ระวัง ก็พักกินข้าวกลางวัน กินไปได้แค่ 3 คำ เขาวิ่งมาแล้ว ย้ายด่วน น้ำป่ามาแล้ว วิ่งออกไปนี่นะ รางดอลลี่ลอยตามน้ำไปเลย มาแรงมาก น่ากลัวมาก ทุกคนก็รีบอพยพออกหมด เรื่องล่าสุด เก็บแผ่นดิน เหมือนกัน กำลังถ่ายๆ อยู่ น้ำป่ามา หนีกันหัวซุกหัวซุนเลย ทุกคนต้องช่วยกันหมด เก็บของ เข็นรถโอบี เข็นรถทีมงาน จะเจออย่างนั้นเยอะ ทั้งยุง ทั้งสัตว์ต่างๆ สารพัด”

ถ้าพูดถึงอาตู่ เราต้องนึกถึงนักปั้นคนคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็น ป๋อ ณัฐวุฒิ, อ้อม พิยดา, หนุ่ม อรรถพร แล้วอีกเยอะมาก อามีวิธียังไงที่จะเลือกนักแสดง? “เลือกในความเหมาะสมของบท อย่างพี่ป๋อ ตอนนั้นคุณแดงส่งมาให้ เพิ่งกลับมาจากเมืองนอก แล้วทำงานเป็นวิศวกร ไม่เคยแสดง นัดมาเจอกันที่บ้าน พี่ป๋อก็จะนั่งงงๆ การแสดงมันคืออะไรครับ ก็ช่วยกันสอนไป พี่ป๋อโชคดีที่ได้เพื่อนๆ นักแสดงคอยโอบอุ้ม หลังจากนั้นพี่ป๋อก็เล่นมาถึงตอนนี้ แต่ตอนนั้นหลังปิดกล้องพี่ป๋อบอกจะไม่เล่นอีกแล้ว”

ป๋อ : “อาตู่เหมือนพ่อคนแรกทางการแสดงของผมเลยก็ว่าได้ เป็นทั้งครู ทั้งพ่อที่สอนป๋อมาทั้งเรื่องราวในกองถ่าย การแสดงในกองถ่าย รวมถึงการปฏิบัติตัวนอกกองถ่าย ต้องกราบขอบพระคุณอาตู่มากๆ นะครับ สำหรับวิชาทั้งหมดที่ถ่ายทอดมาให้ผม ขอให้อาตู่มีสุขภาพแข็งแรง แล้วอย่าลืมชวนป๋อไปเล่นละครของอาตู่บ้างนะครับ”

อาอยากฝากอะไรถึงพี่ป๋อไหม? อาตู่ : “ส่งแต่ความรักครับเรามีความรักให้กัน เพราะว่าเราคบกันมานาน แล้วก็ทำงานด้วยกันมานาน มีแต่ความรักให้ ส่วนพี่อ้อม พิยดา จริงๆ แล้วเขาเกิดมาจากช่องวัน เพียงแต่ว่าอาตู่มาช่วยเกลา เพราะว่าพ่อเขาสั่งมา ดูแลลูกกูดีๆ นะเว้ย ครับพี่ๆ เดี๋ยวผมดูแลให้ครับ”

อย่างกัปตัน ภูธเนศ หนุ่ม อรรถพร ตอนนี้เป็นผู้กำกับฯ ดำเนินรอยตามอาตู่? “เก่งมากทั้งคู่เลยนะ ทั้งคู่มีความสามารถสูงมาก จำได้เลยตอนที่ถ่ายเก็บแผ่นดินอยู่เชียงราย กัปตันกับหนุ่มไม่นั่งเฉย พอฉากนี้เขาไม่ได้เข้า เขาไปฝึกแม้กระทั่งการลากดอลลี่ ฝึกจัดไฟ ฝึกแบกไฟ ทุกอย่าง เราก็มองเห็นแล้วว่า 2 คนนี้มีของ”

ตอนที่เขาเป็นผู้กำกับฯ แล้วเขาได้มาปรึกษา หรืออาตู่ได้ให้คำแนะนำอะไรเขาไหม? “พี่หนุ่มเขามาเป็นผู้กำกับฯ ในสังกัด เป่า จิน จง ในช่วงแรกๆ เขามาฝึกงานกับเรา พี่ตันมากำกับฯ ให้เรื่องแรก คือ ริมฝั่งน้ำ ละครที่เกี่ยวกับผู้สูงวัย ผู้สูงอายุต่างๆ นานา ซึ่งประสบความสำเร็จโด่งดัง เขาเองก็ได้รางวัลเยอะแยะ พี่ตันเป็นคนตั้งใจสูงมาก แล้วที่เลือกพี่ตันมากำกับเรื่องนี้ เพราะว่าพี่ตันกับผู้ใหญ่ พี่ตันมีความนอบน้อม มีความเคารพ เราก็เลยเออ คนนี้เหมาะที่จะกำกับเรื่องนี้”

อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ อเล็กซ์ เรนเดลล์? “อเล็กซ์เริ่มเล่นกับอาตู่ตอน 7 ขวบ เรื่องหัวใจและไกลปืน เป็นเด็กที่อดทน เป็นเด็กที่อึด อายุ 7 ขวบ เล่นตั้งแต่ 10 โมงเช้าจนถึงตี 3 ระหว่าง 5 ทุ่มกว่าเขานอนละ ตี3 ปลุกเขาตื่น เขาก็งัวเงียมา แล้วยืนกลางแขน ทีมงานก็เอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้เขาตื่น พอเขาตื่นเขาเล่นได้ทันที ไม่งอแง ไม่บ่นอะไรทั้งสิ้น”

อเล็กซ์ : “ร่วมงานกับอาตู่มาตั้งแต่ 7 ขวบ ละครเรื่องแรกเลย อาตู่กำกับ เราก็เด็กมากๆ เราจำได้เลยอาตู่จะสปอยเรา เป็นคุณอาที่น่ารัก นอกจากนั้นอาตู่ให้มายเซ็ตที่ดีในการทำงาน คือการได้คิดแบบที่นักแสดงควรคิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาตลอด การเป็นนักแสดงของเราทุกวันนี้ก็ได้มาจากจุดเริ่มต้นที่ดีนั่นคืออาตู่ พอเราได้กลับมา 20 ปีผ่านไป เราก็ได้มาร่วมงานกับอาตู่อีกครั้ง เก็บแผ่นดิน มันเป็นละครที่มีอุปสรรค และเป็นละครที่เหนื่อยมาก ถ้าเราไม่มีลีดเดอร์ที่แข็งแรงที่คอยกระตุ้นพวกเรา มันจะทำงานกันยาก และผลงานจะออกมาไม่ดี รู้สึกดีใจมากที่ได้มาร่วมงานกับอาตู่ ได้เห็นวิธีการการเป็นลีดเดอร์ของอาตู่ อยากให้อาตู่ประสบความสำเร็จในทุกๆ สิ่งที่อาตู่ทำ เพราะว่าเห็นการทำงาน เห็นการเหน็ดเหนื่อย ผมคิดว่าอาตู่เป็นคนที่คู่ควรกับการมีชีวิตที่มีความสุขครับ”

อาอยากบอกอะไรอเล็กซ์ไหม? อาตู่: “เหมือนกันครับ สำหรับอเล็กซ์มีความรักอย่างเดียวเลย รักในเด็กคนนี้ รักในนักแสดงคนนี้เหมือนกับที่รักป๋อ รักใครต่อใครที่เป็นลูกศิษย์ของอาตู่ เรารู้จักกันมาจนไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว นอกจากเรามีความรักให้กัน”

คุณจอย ศิริลักษณ์ เป็นเด็กที่อาเอามาปั้นเลย? “ครับ โสมส่องแสง จำได้ ในเรื่องนี้แคสติ้งยากมาก โอเคเราได้พระเอก 2 คนแล้ว พี่นก ฉัตรชัย กับพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ได้นางเอกคือคุณมาช่า ทีนี้เหลือนางเอกอีกคน จะต้องเด็ก อายุ 14 เท่านั้น เราก็หาตัวนี้ยากนะ จนมาถึงวันที่จอยเข้ามา จอยมาจากสโมสรผึ้งน้อย จอยมีอะไรอยู่ในตัวอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งพอได้คุยทดลองให้เขาเล่นให้ดู ก็เลยคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะไปได้ ทุกคนก็มาคุยกัน ตกลงกันว่าเลือกจอย ทีนี้ก็มาฝึก สิ่งหนึ่งที่จอยมักจะหลุดคือ ความเป็นเด็ก อาตู่ก็จะมีเสียงเข้มๆ พอได้รับการเตือนปั๊บเขาจะกลับมาอยู่กับตัวเองแล้ว”

จอย ศิริลักษณ์ : “ตั้งแต่ละครเรื่องแรกที่เล่นเต็มตัว คือเรื่อง โสมส่องแสง อาตู่เป็นผู้กำกับ และเป็นผู้ที่ให้โอกาสจอยได้มารับบทเจ้าจ๋อย ครั้งนั้นเรียกว่าเรียนรู้ทุกอย่าง ที่อาตู่บอกว่าก่อนแสดงจริงต้องมาเทรนก่อน 3 เดือน ตอนนั้นเรียกว่าละเอียดทุกอย่าง เวลาทำงานจริงอาตู่ก็ฝึกให้เรามีวินัย เข้มงวด ต้องมีสมาธิในการอยู่กับบทบาทนั้น อาเป็นคนใจดีไม่ดุ แซวเล่น มีความสุขมากๆ ที่ได้ทำงานกับอา แล้วก็ขอบพระคุณอามากๆ ที่ให้โอกาสจอย แล้วก็เรียกว่าสอนทุกอย่างเลย ทำให้ทุกวันนี้จอยก็ยังเป็นนักแสดงที่หลายๆ คนคิดถึง อยากจะดูผลงานอยู่ ทั้งหมดก็มาจากที่อาเคยสอน ฝากให้อาดูแลสุขภาพมากๆ รักและคิดถึง และเคารพอาเหมือนเดิมเลย”

ได้ฟังแบบนี้รู้สึกยังไงบ้าง? อาตู่ : “ปลื้ม ประทับใจกับนักแสดง ถือว่าจอยเป็นลูกศิษย์ที่รัก เมื่อเห็นเขาเติบโต เมื่อเห็นเขาได้ดี นั่นคือความรู้สึกที่ดีมากๆ สำหรับอาตู่”

คนทำงานในวงการบันเทิงทุกคนได้รับผลกระทบหมดเลย รวมถึงตัวอาด้วย เป็นยังไงบ้าง?
“หนักอยู่ครับ ปกติละครยากๆ อย่าง เก็บแผ่นดิน เราจะตั้งไว้ว่า 9 เดือน ถึง 1 ปี ต้องปิด นี่เจอไป 2 ปีกว่า ซึ่งรายได้ก็ไม่มีเข้ามา รายจ่ายมีทุกเดือน แล้วมันก็ไม่มีอนาคตครับว่าเมื่อไหร่มันจะหาย เราจะต้องทำให้อยู่กับโรคอย่างนี้ได้ แล้วต้องทำใจอย่างสูงสุดว่าเราต้องอยู่ให้ได้”

อาได้วางแผนชีวิตไหม? “สำหรับกำกับกับการเป็นผู้จัดคิดว่าไม่น่าจะเกิน 3-4 ปีนี้ก็ว่าจะเริ่มถอย เพราะว่าแรงมันเริ่มที่จะถอยเหมือนกัน เรารู้ตัวเราดี เมื่อไหร่ถึงเลข 7 ก็น่าจะถอยได้แล้ว แต่การแสดงไม่หยุดแน่นอน ไม่มีวันหยุด ยังไงก็ยังชอบการแสดง”

เห็นว่าอาจะไปอยู่เชียงรายเป็นหลัก ถ้าสมมติไม่มีงานแสดงหรืออะไรก็แล้วแต่? “ใช่ครับ ต้องการอยู่กับธรรมชาติให้ได้มากที่สุด อาตู่ว่าชีวิตในเมือง เป็นชีวิตที่ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ เราตื่นมา เราก็เห็นแต่ตึก เห็นแต่รถติด ฝุ่นควันทั้งหลาย อยู่ตรงนั้นอาตู่ก็จะมีความสุขกับสัตว์เลี้ยงต่างๆ แล้วก็ต้นไม้ ดอกไม้”

คลิปสัมภาษณ์ ตู่ นพพล

แท็กที่เกี่ยวข้อง

เรื่องอื่นที่น่าสนใจ