“ธาริต” ยื่นคำร้องขอให้เปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา อ้างมีหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่ม กปปส. อาจไม่ได้รับความเป็นธรรม
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เดินทางมาฟังคำพิพากษา ศาลฎีกาคดีที่ถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ยื่นฟ้องนายธาริต และชุดพนักงานสอบสวนดีเอสไอรวม 4 คน ฐาน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และกลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับโทษทางอาญา จากการกล่าวหาว่าใช้อาวุธสั่งฆ่าประชาชนจากการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.เมื่อปี 2553 หลังจากเลื่อนฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา จากปัญหาสุขภาพครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 10
- อ่านข่าว “ธาริต” ฟังฎีกาคดี “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ฟ้อง พร้อมเปิดเบื้องหลัง 99 ศพ ต้นตอปฏิวัติ 57
นายธาริต กล่าวก่อนขึ้นฟังคำพิพากษาว่า เช้าวันนี้ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาโต้แย้งคัดค้านองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาชุดเดิมที่ได้พิจารณาคดีนี้ เนื่องจากเพิ่งได้รับหลักฐานที่เชื่อได้ว่านายสุเทพ ในฐานะอดีตแกนนำกปปส. มีความเกี่ยวข้องกับอดีตประธานศาลฎีกา และผู้พิพากษาอีกจำนวนหนึ่ง
อีกทั้งนายสุเทพได้เคยยื่นฟ้องว่านายธาริต กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษในคดีทุจริตก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทน จึงเชื่อว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาคดีนี้อีก โดยคำร้องครั้งนี้ได้ขอให้ศาลฎีกาทบทวนคำพิพากษา และให้เข้าในองค์ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทบทวนคำพิพากษา และใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย รวมทั้งไม่เชื่อมั่นในอดีตประธานศาลฎีกา และผู้พิพากษาบางคน
นายธาริต ยังระบุว่าหากวันนี้ศาลฎีกา มีคำพิพากษาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ ก็อาจจะส่งผลต่อคดีของกลุ่มนปช.ที่ปัจจุบันที่ผ่านมาแล้ว 13 ปี ที่ไต่สวนสาเหตุการตายไปเพียง 27 คน จาก 99 คน ส่วนบางคดีพนักงานสอบสวนยุติการทำคดีไปแล้ว เนื่องจากไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิด และบางส่วนเมื่อถึงชั้นอัยการศาลทหารก็สั่งไม่ฟ้องคดีไปแล้ว ทั้งที่มีพยานหลักฐานว่าการไต่สวนสาเหตุการตายว่ามาจากกระสุนฝ่ายทหาร
ส่วนกรณีที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ และนายราเมศ รัตนะเชวง ออกมาเปิดเผยว่า นายธาริต เลอะเลือนที่ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพนั้น นายธาริต กล่าวว่า คดีนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ คดีของกลุ่มนปช. ที่ออกมาเคลื่อนไหวซึ่งขณะนั้นก็ได้แจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับแกนนำที่กระทำความผิดแล้ว อีกส่วนคือ การดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ที่พบหลักฐานว่าเป็นผู้ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธจริงในการควบคุมสถานการณ์ จึงเห็นว่านานิพิฏฐ์ และนายราเมศ เป็นนักการเมืองที่บิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมกับตั้งคำถามกลับว่าใครกันแน่ที่เลอะเลือน
ขณะที่การต่อสู้ในคดีนี้ตลอดทั้ง 3 ศาล นายธาริต ระบุว่า กรณีที่สำนักงานป.ป.ช. มีมติว่านายอภิสิทธิ์ กับนายสุเทพ ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายแล้ว ไม่ใช่ว่าจะยังไม่มีความผิด เพราะหลังจากศาลฎีกายกฟ้องคดีแล้ว ได้ส่งสำนวนให้สำนักงาน ป.ป.ช.ไปไต่สวนอีกครั้ง ก่อนที่จะให้กลับมายื่นฟ้องใหม่ พร้อมขอให้สื่อมวลชนไปติดตามกับ ป.ป.ช.ว่าคดีดังกล่าวไปถึงไหนแล้ว ส่วนคำพิพากษาในวันนี้หากตัดสินว่าตัวเองมีความผิด ก็จะถือว่ารับรองการออกคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ใช้อาวุธจริงสลายการชุมนุมเป็นไปด้วยชอบแล้ว รวมทั้งผู้บาดเจ็บกว่า 2,000 คน และผู้เสียชีวิต 99 คน ก็จะไม่ได้รับโอกาสลดใช้ค่าเสียหาย และตัวเองก็ต้องโทษจำคุก
นายธาริต ยืนยันว่า การยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาพิจาณาในวันนี้ไม่ใช่การประวิงเวลา แต่เพิ่งได้รับหลักฐานมาจึงต้องร้องให้ตรวจสอบ ส่วนจะต้องใช้เวลาอีกนานหรือไม่ในการพิจารณาคำร้อง ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลฎีกา นอกจากนั้นก็ได้ส่งคำร้องขอให้ศาลฎีกา ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ ตีความการฟ้องตามกฎหมายมาตรา 157 และ 200 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อีกหนึ่งคำร้อง
ขณะที่นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ โจทก์ในคดี เห็นว่าการแถลงของนายธาริต เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาในวันนี้ และเห็นว่าคดีนี้นายธาริต ขณะเป็นอธิบดีดีเอสไอ ได้ทำคดีของกลุ่ม นปช. ว่าก่อการร้าย แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็กลับทำคดีใหม่กล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ สั่งฆ่าประชาชนในการสลายชุมนุม นปช. จากการออกคำสั่งของผู้อำนวยการศอฉ.
ส่วนการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาขอให้ศาลฎีกาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเกี่ยวกับข้อกฎหมายมาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลฎีกาว่าจะมีความเห็นอย่างไร ซึ่งก่อนหน้านี้ที่นายธาริต กลับคำให้การเป็นรับสารภาพ โดยพร้อมจะชดใช้เงินหลักแสนบาทให้กับโจทก์ทั้งสองคน แต่ทั้งสองคนปฏิเสธรับเงิน ไม่ได้มีเงื่อนไขที่ว่าส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
นายสวัสดิ์ ยังระบุว่า ตั้งแต่เป็นทนายความมายังไม่เคยเห็นว่าจำเลยจะขอเลื่อนฟังคำพิพากษาถึง 10 ครั้ง จากการอ้างว่าเจ็บป่วย คดีนี้ถือเป็นคดีแรก เช่นเดียวกับคดีทุจริตสร้างสถานีตำรวจ นายธาริตก็ขอเลื่อนฟังคำพิพากษาเช่นกันแต่ไม่เยอะเท่าคดีนี้ ส่วนวันนี้ศาลจะอ่านคำพิพากษา หรือเลื่อน ก็แล้วแต่ดุลยพินิจของศาล หลังจากที่นายธาริต ได้ขอยื่นคำร้องให้ศาลฎีกาพิจารณาเพิ่มเติม