สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ (22 มี.ค. 66) มีประเด็นร้อนโซเชียล เมื่อ ทนายตั้ม หรือ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โพสต์ข้อความ แฉบุคคลมีชื่อเสียงรายหนึ่ง โดยมีการระบุข้อความว่า “แฉไป ไถไป” พร้อมกล่าว จำนวนเงินในถุงกระดาษ ที่คาดว่ามีมากกว่า 6 ล้านโดยชูวิทย์เป็นเจ้าของถุงเงินนี้ ซึ่งชูวิทย์นั้นก็ได้ออกมาปฏิเสธไปแล้วว่า เงินที่ได้รับนั้นนำไปบริจาคให้โรงพยาบาลแล้วแต่ก็ต้องนำมาคืน และมอบให้กับ กองบังคับการปราบปราม เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 66 ที่ผ่านมา
ซึ่งหลังจากมีประเด็นถกเถียงดังกล่าว ทั้งคู่ก็ออกมาสาดโคลนใส่กันผ่านโลกโซเชียล ด้วยความที่ทั้งคู่มีชื่อเสียงและมีผู้ติดตามในโลกออนไลน์ จึงทำให้มีประเด็นต่างๆมากมาย ที่ชาวเน็ตนั้นยังคงต้องตามเผือกกันอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังลามปามไปถึงการฟ้องร้อง ที่จะเรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท! และยังมีอีกหนึ่งคำถามที่ทั้ง ชูวิทย์ และหลายๆคนอาจจะยังสงสัยในเหตุผลที่ ทนายตั้ม นั้นออกมาแฉ เพราะก่อนหน้านี้ทั้งคู่ไม่เคยมีประเด็นอะไรกันมาก่อน โดยล่าสุด 11 เม.ย. 66 ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นั้นโพสต์ข้อความว่า
ทนาย กับ ช่างทาสี อาชีพที่เปลี่ยนขาวเป็นดำได้
วันนี้ไปสภาทนายความร้องเรียน “มรรยาททนายความ” การมีวิชาชีพทนายต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม เพราะเป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมที่ประชาชนต้องพึ่งพาเมื่อมีคดีความ ผมไม่เคยมีเรื่องบาดหมางโกธรเคืองกับ ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม มาก่อน อีกทั้งทนายตั้มก็ไม่เคยเป็นทนายฝั่งตรงข้าม หรือแม้กระทั่งขัดใจกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่จู่ๆ ทนายตั้มก็ออกมาโจมตีผมโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย จัดแถลงข่าวกล่าวหาผมสารพัด ลามไปถึงลูกชายผมว่าได้รับเงิน 50 ล้าน เป็นเงินดิจิตอล รวมทั้งพฤติกรรมหลายอย่างที่ทนายตั้มได้รับฟังเพียงการบอกเล่ามา ไม่มีหลักฐานใดๆและตัวทนายตั้มเองก็ไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ
การเป็นทนายแล้วกระทำการแบบนี้ จึงเสมือนหาเรื่องให้มีคดีความเกิดขึ้น ผมรู้จักทนายมามาก และรู้ว่าคุณค่าของทนายสำคัญแค่ไหน หากเลือกทนายผิด ผลจะเป็นอย่างไร การที่ทนายมานั่งแถลงข่าวซัดใครที่ไม่ได้รู้จัก ไม่ได้มีเรื่องโกธรเคืองกันมาก่อน ย่อมมีเจตนาอะไรอยู่เบื้องหลังแน่นอน ไม่มีทางที่อยู่ดีๆ ทนายจะมากล่าวหาผู้อื่น แล้วอ้างทำเพื่อสังคม โดยไม่หวังผล หรือนัยยะใดแอบแฝง มีเพียงทนายตั้มเท่านั้นที่จะทราบได้ ว่ามีใครสั่งการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งผมเชื่อว่ามีแน่
- ชูวิทย์ เอาจริง! ยื่นฟ้อง ทนายตั้ม พร้อมเรียกค่าเสียหาย หลักร้อยล้าน
- ศาลสั่งห้าม ชูวิทย์ พูดเรื่องกัญชา ที่เกี่ยวกับนโยบายของ พรรคภูมิใจไทย
- ชูวิทย์ กัดไม่ปล่อย ยื่นสอบมรรคยาททนายตั้ม โทษสูงถึงขั้นจบอาชีพทนาย
หากทนายตั้มมีคุณธรรม ควรจะสอบถามผมก่อน ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร แทนที่จะจัดแถลงข่าวโจมตี เป็นผู้รู้กฎหมาย ใช้เป็นวิชาชีพหาเลี้ยงตน และครอบครัว ย่อมทราบดีว่าการฟังความข้างเดียว ทั้งที่มีข้อสงสัยคลุมเครือ สมควรอย่างยิ่งที่จะให้ความเป็นธรรม และมีความสุจริตเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่นึกถึงแต่ความดังจากการโจมตี เพื่อประโยชน์ในการหาทางได้ของตนเอง ทนายตั้มยังอายุไม่มาก การถูกหลอกใช้ หรือเต็มใจให้ใช้จึงเกิดขึ้นได้ เพราะความต้องการให้คนยอมรับนับถือ มีเรื่องโด่งดังฮือฮา ย่อมเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
ผมเป็นคนที่ขึ้นมาแทบทุกศาล จะมากสุดก็ว่าได้ ตั้งแต่ศาลแพ่ง ศาลอาญาทุกศาล (อาญารัชดา อาญาใต้ อาญาสนามหลวงปัจจุบันรื้อไปแล้ว) อีกทั้งศาลแขวง ศาลปกครอง ศาลแรงงาน ศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไปจนถึงศาลรัฐธรรมนูญ (คดีถูกปลดจาก ส.ส. ขณะสังกัดพรรคชาติไทยปี 2548) .จึงรู้ซึ้งเข้าใจคนเป็นทนายดี ทนายต้องมีคุณธรรม หากแพ้แน่ๆ แต่ยุยงว่าชนะ หรือหากชนะ แต่ไปแกล้งสู้ให้แพ้ ก็ทำได้ บางคดีผมเลือกไม่ใช้ทนาย สารภาพกับศาลตรงๆ ดีกว่า
เพราะ “สู้ติดแน่ แพ้ติดนาน สารภาพติดพอประมาณ” ครั้งสุดท้ายที่ผมติดคุก 1 เดือน เพราะผมเลือกสารภาพในคดีรายงานทรัพย์สินไม่ครบถ้วนตอนเป็น ส.ส. โดยรายงานขาดไป 150,000 บาท ใช่ครับ ฟังไม่ผิด 150,000 บาท แต่เป็น “กฎหมายปิดปาก” จะน้อยจะมาก ผิดคือผิด และผมทราบดีว่าออกจากคุกไม่เกิน 5 ปี ไม่สามารถรอลงอาญาได้ แต่ผมก็เลือกสารภาพเดินเข้าคุก 1 เดือน ให้มันจบๆ ไป
แก๊งทนายวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อ โดยหยิบยกเอาคดีที่ไม่ได้รู้พยานหลักฐานครบถ้วนมาวิเคราะห์ชี้นำสังคม ให้ความรู้ทางกฎหมายที่ผิดๆ พูดหน้าสื่อ หน้าไมค์ ออกกล้องเก่ง แต่ไม่ได้มีความสามารถในทางกฎหมายจริงๆ เมื่อไปอยู่ต่อหน้าบัลลังค์ กลับถูกทนายฝั่งตรงข้าม หรืออัยการสอนมวยเสียคน เพียงแต่ไม่มีใครได้เห็นเป็นข่าว
ทนายที่งานมากไม่ได้หมายความว่าเก่ง ควรเอาทนายที่มีเวลาในการทำคดีให้เรา ศึกษาข้อกฎหมายอย่างถี่ถ้วน หากไปเลือกทนายที่งานมาก แน่นอนว่าค่าว่าความความก็สูงตาม แต่ไม่มีเวลาให้ลูกความ ความยุติธรรมไม่ได้มาจากราคา แต่มาจากคุณธรรม ผมจำต้องร้องเรียนทนายตั้มต่อสภาทนายความ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ทนายคนอื่นๆ และไม่ให้กลับมากระทำการในทำนองนี้อีก
ทนายเปรียบเสมือนช่างทาสี ที่สามารถเปลี่ยนสีขาวเป็นดำ หรือดำเป็นขาวได้ พลิกแพลงเรื่องได้ตามที่ต้องการ หากเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรม ไว้ใจไม่ได้ จะเป็นอันตรายต่อสังคม หากคนไหนพบทนายที่ปฏิบัติตัวผิด เช่น หาเรื่องให้เกิดคดี จัดแถลงข่าวหาแสง ก็สามารถร้องสภาทนายความได้ อย่าให้ทนายกลายเป็นช่างทาสีเลยครับ มันเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างยิ่งจะเข้าคุก หรือจะกลับบ้าน ก็เพราะทนายนี่ล่ะครับ
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่น ๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY