ศึกแดงเดือด นัดแรก จบลงที่ฝั่ง “ปีศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายเปิดบ้านโดน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ไล่ถล่ม 5-0 ในการแข่งขัน ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564 เราลองไปดู 10 เรื่องสำคัญที่เกิดขึ้นในเกมนัดนี้กัน
1. ความเฉียบขาดที่แตกต่างกันตั้งแต่ต้นเกมFBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL / OLI SCARFF/GettyImages
ให้หลังจากเสียงนกหวีดเริ่มต้นเกมที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ได้ไม่กี่อึดใจเป็นฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่สามารถสร้างโอกาสถนัดถนี่ได้ก่อนเมื่อ บรูโน เฟอร์นันเดส หลุดไปในกรอบเขตโทษล่อเป้า อลิสซอน เบ็คเกอร์ แต่กลับตะบันหลุดกรอบไปไกลแบบไม่ได้ลุ้น
ถัดจากนั้นไม่นานก็กลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่สร้างโอกาสจะแจ้งได้บ้างและกลายเป็น นาบี เกอิต้า ได้หลุดเดี่ยวเข้าไปใส่สกอร์สำเร็จ
น่าคิดเหลือเกินว่าถ้าหาก บรูโน เฉียบขาดกว่านั้นและจบโอกาสดังกล่าวเป็นประตูให้ ปีศาจแดง ออกนำไปก่อนแล้วรูปเกมจะเป็นอย่างไร
2. การเพรสซิงระดับฟุตบอลนักเรียนManchester United v Liverpool – Premier League / Michael Regan/GettyImages
ปีศาจแดง ของ โอเล กุนนาร์ โซลชา สร้างเซอร์ไพรส์เหมือนจะพยายามเอาใจแฟนบอล เร้ดเดวิลส์ ใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ด้วยการสั่งให้ลูกทีมไล่บีบพื้นที่ตั้งแต่แดนบน แต่นั่นกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์เมื่อคู่ต่อสู้คือ ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์
หงส์แดง ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเล่นฟุตบอลเฮฟวีเมทัล เพรสซิงใส่คู่ต่อสู้ระดับเซียนอ๋อง นั่นหมายความว่าในสนามซ้อมพวกเขาต้องแบ่งข้างซ้อมการบีบพื้นที่ใส่ซึ่งกันและกันอย่างไม่ต้องสงสัย
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกทีมของ คล็อปป์ ไม่ยี่หระต่อการวิ่งไล่บอลอย่างไร้จุดหมายของลูกทีม โอเล ต่อบอลเอาชนะการเพรสซิงที่ป้อแป้ดังกล่าวไปจบที่ก้นตาข่ายสำเร็จอย่างง่ายดาย
3. หายนะ ชอว์-แม็คไกวร์Manchester United v Liverpool – Premier League / Michael Regan/GettyImages
แทบไม่น่าเชื่อว่า แฮร์รี แม็คไกวร์ มีสถานะเป็นปราการหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกกับมูลค่าราว 80 ล้านปอนด์เมื่อเขาแสดงให้เห็นความผิดพลาดทุกอย่างเท่าที่คุณจะนึกออกสำหรับนักเตะในตำแหน่งดังกล่าว
การตัดสินใจที่เชื่องช้า การยืนตำแหน่งที่ผิดพลาด การสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมไม่ดีพอ การเข้าสกัดที่ไม่เด็ดขาด ความเชื่อมั่นของทั้งตนเองและเพื่อนร่วมทีมที่ถดถอยจากความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
4. เกอิต้า โชว์Manchester United v Liverpool – Premier League / Michael Regan/GettyImages
นาบี เกอิต้า กลายเป็นทุกอย่างของ ลิเวอร์พูล นับตั้งแต่เริ่มต้นเกมที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด
มิดฟิลด์ทีมชาติ กินี แสดงความมุ่งมั่นให้เห็นตั้งแต่การไล่บอลบีบพื้นที่คู่ต่อสู้ เปิดหัวด้วยการพังประตูเบิกร่องอย่างเด็ดขาด มีส่วนร่วมในจังหวะตั้งต้นอันเป็นที่มาของการได้ประตู 2-0 ตามด้วยการแอสซิสต์ให้ ซาลาห์ จบลูก 3-0
น่าเสียดายที่ เกอิต้า ไม่สามารถเล่นได้จนจบเกมเมื่อถูก ปอล ป็อกบา อัดเข้าใส่จนได้รับบาดเจ็บและต้องถูกเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง
5. ซาลาห์ เข้าขั้นแข้งดีที่สุดในโลกFBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL / OLI SCARFF/GettyImages
แฮตทริคของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในเกมนี้ทำให้เขามีสถิติตะบันไปแล้ว 15 ประตูกับ 5 แอสซิสต์จากการลงสนาม 12 นัดเมื่อรวมทุกรายการในฤดูกาลนี้ แถมยังเป็นการใส่สกอร์ต่อเนื่อง 10 นัดติดต่อกันเข้าไปแล้ว
นอกจากนี้ 3 ประตูดังกล่าวกลายเป็นลูกที่ 107 ของ ซาลาห์ ใน พรีเมียร์ลีก ทำให้เขากลายเป็นแข้งจากทวีปแอฟริกาที่ยิงประตูได้มากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก แซงหน้า ดิดิเยร์ ดร็อกบา (104 ประตู) เป็นที่เรียบร้อย
เท่านั้นยังไม่พอ แฮตทริคของ ซาลาห์ ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นแข้งทีมเยือนรายแรกที่ซัด 3 ประตูใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในรอบ 18 ปีนับตั้งแต่ที่ โรนัลโด้ นาซาริโอ ของ เรอัล มาดริด ทำได้ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2003
6. ประตูที่ 5 ตอกฝาโลงปิดประตูคัมแบ็คManchester United v Liverpool – Premier League / Alex Livesey – Danehouse/GettyImages
สกอร์ที่ตามหลัง 4-0 ตั้งแต่ก่อนจบครึ่งแรกอาจดูห่างไกลสุดกู่ แต่มองโลกในแง่ดีสุดๆ การไล่ตีตื้นอย่างน้อยตีไข่แตกโดยเร็วอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกมได้บ้างเมื่อรวมกับเสียงเชียร์ของแฟนบอลใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด
ทว่าความคาดหวังของแฟนผีก็ถูกกระทืบลงอย่างไม่มีชิ้นดีโดยแฮตทริคของ โม ซาลาห์ หลังกลับมาเขี่ยลูกเริ่มเกมได้เพียง 5 นาที
7. ป็อกบา กับสถานะตัวสำรองเพื่อใบแดงManchester United v Liverpool – Premier League / Michael Regan/GettyImages
การดร็อป ปอล ป็อกบา เป็นเพียงตัวสำรองเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่เราจะสามารถทำความเข้าใจได้เมื่อสตาร์ทีมชาติ ฝรั่งเศส เพิ่งพิสูจน์ตนเองถึงความสำคัญกับเพื่อนร่วมทีมจากผลงานในเกมกับ อตาลันต้า
ผลการแข่งขันช็อคโลกในแมตช์คัมแบ็คเมื่อกลางสัปดาห์เกิดขึ้นได้เมื่อเขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาหลังพักครึ่งและมีส่วนสำคัญกับการผ่านบอลได้เสียที่แดนกลาง ปลดล็อคศักยภาพของ บรูโน แฟร์นันด์ส และ คริสเตียโน โรนัลโด้ จากบอลที่หวังผลได้
ทว่า โซลชา กับจับ ป็อกบา ใส่สนับก้นนั่งอยู่บนม้านั่งสำรองต่อเนื่อง และสกอร์ที่ตามหลังถึง 4-0 ตั้งแต่ก่อนจบครึ่งแรกก็เป็นความพยายามชนิดเข็นครกขึ้นภูเขาในการที่จะไล่ตามทัน
ท้ายที่สุด ป็อกบา อยู่ในสนามราว 15 นาทีหลังถูกเปลี่ยนตัวลงมาแทนที่ เมสัน กรีนวูด โดยได้รับใบแดงโดยตรงจากจังหวะพยายามแย่งบอลคืนจาก เกอิต้า
8. การเปลี่ยนตัวของ โซลชาManchester United v Liverpool – Premier League / Alex Livesey – Danehouse/GettyImages
ในขณะที่ทีมตามหลังอยู่ 5-0 และเหลือผู้เล่นเพียง 10 คนในขณะที่เกมเหลืออยู่ราว 30 นาที โซลชา ก็กล้าๆ สร้างเซอร์ไพรส์อีกครั้งด้วยการถอดเอาแข้งที่สร้างสรรค์เกมได้ดีที่สุดอย่าง บรูโน ออกจากสนาม เช่นเดียวกับแข้งความเร็วสูงในแนวรุก มาร์คัส แรชฟอร์ด
เราคาดหวังถึงการส่งเอา 2 ตัวรุกลงมาแทนที่อย่างน้อยเพื่อทวงสกอร์คืนเมื่อบนม้านั่งสำรองพวกเขามีทั้ง เจสซี ลินการ์ด, ดอนนี ฟาน เดอ เบค และ เจดอน ซานโช แต่กลับกลายเป็น ดิโอโก้ ดาโลต์ ที่ได้รับโอกาสแทนที่
แม้จะมี เอดินสัน คาวานี เป็นหนึ่งในตัวสำรองของการเปลี่ยนตัวดังกล่าวแต่นั่นก็ไม่สามารถจุดประกายความหวังใดๆ ได้เมื่อทั้งเขาและ โรนัลโด้ ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวที่แดนหน้าจากการที่ไม่มีคนวางบอลให้
9. ความพ่ายแพ้ยับเยินของ ปีศาจแดงManchester United v Liverpool – Premier League / Michael Regan/GettyImages
ครั้งสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล บุกมาใส่สกอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 5 ลูกในลีกเกิดขึ้นเมื่อ 85 ปีก่อน (แมนฯ ยูไนเต็ด 2-5 ลิเวอร์พูล 21 พฤศจิกายน 1936)
การปราชัยใน โอลด์ แทรฟฟอร์ด กับเกมลีกของ ปีศาจแดง ที่มีระยะห่างจากคู่แข่ง 5 ประตูเกิดขึ้นครั้งล่าสุดในปี 2020 ที่พวกเขาถูก สปอร์ส บุกถล่ม 1-6 โดย ไก่เดือยทอง ชุดดังกล่าวอยู่ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ มูรินโญ
ครั้งสุดท้ายที่ เร้ดเดวิลส์ แพ้ 5-0 คาบ้านในเกมลีกเกิดขึ้นเมื่อ 66 ปีก่อนโดยเป็นเกม แมนเชสเตอร์ดาร์บี้ กับ แมนฯ ซิตี้ (กุมภาพันธ์ 1955)
10. ไปต่อหรือพอแค่นี้FBL-ENG-PR-MAN UTD-LIVERPOOL / OLI SCARFF/GettyImages
ผลจากการแข่งขันในเกมนี่ทำให้ โซลชา ขึ้นแท่นกลายเป็นกุนซือตัวเต็งลำดับต่อไปที่จะถูกตะเพิดออกจากตำแหน่ง
หลายครั้งหลายคราที่นายใหญ่ชาว นอร์วีเจี้ยน สามารถเด้งเชือกยามหลังพิงฝา หลบวิกฤตของทีมชนิดจวนตัว รอดพ้นจากการถูกเชือดพ้นจากเก้าอี้สำเร็จ ขณะที่บอร์ดบริหารของพวกเขายังคงเชื่อมั่นในตัวตำนานสโมสรรายนี้จากการให้โอกาสนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ความพ่ายแพ้แบบหมดรูปเกมนี้ยืนยันชัดเจนถึงความห่างชั้นระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับทีมชั้นนำใน พรีเมียร์ลีก ดีเอ็นเอของ ปีศาจแดง ที่ โซลชา เคยคุยโวเอาไว้กลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ดูจะมีดีเอ็นเอของ เร้ดเดวิลส์ เสียมากกว่า
ไม่นับการบริหารจัดการทีมอย่างที่เรายากจะคาดการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ดอนนี ฟาน เดอ เบค หรือจัดการให้ เจดอน ซานโช กลายเป็นดาวดับจนถึงเวลานี้
ลูปของ โซลชา อาจเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อทีมพบวิกฤตโดยเกมถัดไปพวกเขาจะเจอกับ สเปอร์ส ในวันเสาร์หน้า ถึงเวลานั้นชัยชนะเหนือ สเปอร์ส อาจทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงมาได้บ้าง แต่หากพิจารณาจากผลงานตลอดระยะเวลาของเขากับ ปีศาจแดง นายใหญ่ โซลชา ไม่เคยแสดงให้เห็นถึงกึ๋นในการนั่งแท่นกุมบังเหียนทีมทั้งในเชิงแท็คติกและการเป็นผู้นำของทีมแต่อย่างใด
และเราคิดว่านั่นเป็นเหตุผลที่เพียงพอหาก ปีศาจแดง จะแยกทางกับกุนซือ นอร์วีเจี้ยน รายนี้