‘ชาวเลหลีเป๊ะ’ โล่ง ‘เอกชน’ยอมถอย ไม่สร้างรั้วกั้นทางเดินดั้งเดิมเพิ่ม ร้อง กมธ.ที่ดินเร่งลงพื้นที่ตรวจสอบเอกสารสิทธิ รณรงค์ค้านปิดถนน ผ่าน Change.org
วันที่ 2 ธ.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ศาลากลางจังหวัดสตูล มีการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวเล-อูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล และ เอกชนที่อ้างกรรมสิทธิที่ดินทำการปิดถนนที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปโรงเรียน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพและสุสาน โดยมี นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการ (ผวจ.) จังหวัดสตูล เป็นประธาน
- สะท้อนปัญหา ‘ชาวเล’ ในวันที่นายทุนรุกไล่ ‘หลีเป๊ะ’ วิกฤต โดนปิดทางเข้าโรงเรียน
ทั้งนี้ นายอาทิตย์ ทะเลลึก ตัวแทนชาวอูรักลาโว้ย เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมประชุมว่า เมื่อเริ่มต้นการประชุมปลัดอำเภอส่วนหน้าบนเกาะหลีเป๊ะ เล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่รังวัดที่ดินได้ชี้แจงเรื่องเอกสารสิทธิที่ดินแปลงที่มีปัญหาตั้งแต่การออกเอกสาร สค.1 และ นส.3 โดย ผวจ.ได้ซักถามในประเด็นต่างๆ
นายอาทิตย์ กล่าวว่า หลังจากนั้นได้พูดถึงเรื่องที่เอกชนอ้างกรรมสิทธิในที่ดินได้โทรศัพท์หานายอำเภอ โดยแจ้งความประสงค์ว่าหยุดการก่อสร้างออกไปก่อน แต่ในส่วนที่สร้างไปแล้ว หากชาวบ้านต้องการเอาออกให้ไปฟ้องศาลเอา ซึ่ง ผวจ.แนะนำว่าให้ศูนย์ดำรงธรรมเป็นตัวกลางในการเจรจา แต่ถ้าการเจรจาไม่สำเร็จหากชาวบานจะฟ้องศาลก็ให้ปรึกษาอัยการจังหวัด
นายอาทิตย์กล่าวว่า ตนได้เล่าให้ที่ประชุมทราบถึงประวัติศาสตร์ถนนเส้นนี้ที่ชาวเลใช้กันมานับร้อยปี และเส้นทางนี้เมื่อถูกปิดจะส่งผลกระทบอย่างไร
ด้าน ครูแสงโสม หาญทะเล ตัวแทนชาวเลกล่าวว่า เมื่อหลายฝ่ายเป็นห่วงว่าการปิดถนนจะส่งผลกระทบในวงกว้างและทำให้เสียภาพพจน์เรื่องการท่องเที่ยว ชาวบ้านก็ยินดีที่จะเปิดเส้นทางให้โดยเอกชนรับปากว่าจะไม่สร้างต่อ อย่างไรก็ตามชาวบ้านยังคงต้องเฝ้าระวังพื้นที่
“ตอนนี้ชาวบ้านได้เก็บเต้นท์ เก็บไซ ที่กั้นถนนอยู่ออกหมดแล้ว เพื่อให้รถสัญจรได้ แต่เรื่องตรวจสอบเอกสารสิทธิยังเดินหน้าต่อไป แต่จะให้ชาวบ้านไปฟ้องศาลเองก็ไม่ใช่ เพราะชาวบ้านไม่สะดวกที่จะเดินทางไกลไปถึงอำเภอเมือง และก็ยากจนไม่มีเงิน เจ้าหน้าที่รัฐเองมักพูดว่าเป็นปัญหาระหว่างเอกชนและเอกชน แต่เราไม่รู้กฎหมาย เขาบอกอย่างไรก็ทำตามนั้น แต่เราข้องใจเรื่องเอกสารสิทธิเพราะออกมาครอบทับที่บ้านชาวบ้านและที่สาธารณะมากมาย ทำไมเจ้าหน้าที่รัฐถึงไม่ตรวจดูว่ามีถนน คูคลองสาธารณะถูกบุกรุกหรือไม่” ครูแสงโสม กล่าว
ในวันเดียวกัน นายไมตรี จงไกรจักร์ ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไทย ได้ยื่นหนังสือถึงประธานกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฏร เพื่อขอให้เร่งดำเนินการลงพื้นที่ตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล โดยระบุว่า ด้วยชาวเลอูรักลาโว้ยเกาะหลีเป๊ะ มีผลกระทบความเดือดร้อนอย่างรุนแรงจากกรณีการซื้อขายที่ดินของผู้ที่ครอบครองเอกสาร นส.3 เลขที่ 11 ได้ทำการขายที่ดินจากเอกสารในแปลงดังกล่าวให้กับเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งพยายามเข้าครอบครองที่ดินที่เป็นบ้านชาวบ้านโดยมีการเข้ามาในพื้นที่ชุมชนและรังวัดที่ดินครอบบ้านชาวเล รวมทั้งเส้นทางสัญจรต่างๆในชุมชน
ในหนังสือระบุว่า ที่สำคัญที่สุด เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 เวลา 15.00 น. เอกชนได้ให้ลูกน้องมาเชื่อมเหล็กปิดกั้นเส้นทางสัญจรที่เป็นทางดั้งเดิมตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2452 เป็นต้นมา ซึ่งปัจจุบันชาวเลใช้เป็นเส้นทางสัญจรในการให้นักเรียนเดินเข้าโรงเรียน ทางสัญจรเข้าโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพชุมชนเกาะหลีเป๊ะ ทางสัญจรเข้าสุสานชุมชนชาวเล ทางสัญจรแห่พิธีกรรมในประเพณีลอยเรือ ทางสัญจรในการออกสู่ทะเลเพื่อประกอบอาชีพ
รวมทั้งเป็นทางเดินของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวบนเกาะหลีเป๊ะ ทำให้นักเรียน ชุมชน และนักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จำนวนกว่า 1,000 คน ต้องปีนรั้วเพื่อสัญจรซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียของจังหวัดสตูลและประเทศไทยอย่างมาก
“ชาวเลเกรงว่าเอกชนจะมาสร้างรั้วปิดกั้นจนไม่สามารถสัญจรได้ จึงขอให้ท่านลงพื้นที่เพื่อการตรวจสอบเอกสารสิทธิ ในที่ดินที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ในเกาะหลีเป๊ะ นส.3 เลขที่ 7 เลขที่ 10 และ เลขที่11 เพื่อเชื่อมโยงไปสู่ภาพรวม นส.3 ทั้ง 41 แปลง เนื่องจากชาวเลอูรักลาโว้ยที่เป็นผู้บุกเบิกและอาศัยที่เกาะหลีเป๊ะมาอย่างยาวนานมากกว่า 113 ปี การกระทำเช่นนี้ส่งผลให้ชาวเลและคนในชุมชนตลอดจนนักท่องเที่ยวผู้ร่วมใช้เส้นทางสาธารณะไม่สามารถใช้ชีวิตบนเกาะหลีเป๊ะได้อย่างปกติสุข” หนังสือร้องเรียนระบุ
ขณะที่เว็บไซต์ Change.org สร้างแคมเปญรณรงค์ร่วมลงชื่อ “คัดค้านนายทุนปิดเส้นทางสาธารณะบน #เกาะหลีเป๊ะ กระทบชุมชนชาวเล” โดยมีเนื้อหาบางตอนระบุว่า กลุ่มชนชาติพันธุ์ชาวเลอูรักลาโว้ยที่บุกเบิกเกาะหลีเป๊ะและร่วมประกาศอาณาเขตให้แก่ดินแดนสยามเมื่อครั้งแบ่งเขตเส้นการครอบครองทางทะเลระหว่างไทยกับมาเลเซีย อยู่อาศัยมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษเป็นชุมชนที่รักใคร่ ปรองดอง สงบสุขด้วยวิถีชีวิตดั้งเดิม แต่อยู่มาถึงปัจจุบันก็มีนายทุนมาอ้างว่ามีเอกสารสิทธิ์ครอบครองที่อยู่อาศัยของชุมชนจนเกิดการฟ้องร้องขับไล่ในชั้นศาล
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2565 มีนายทุนรายหนึ่ง ปิดทางสาธารณะประโยชน์ของชุมชน ชาวบ้านรวมตัวกันออกมาร่วมคัดค้านการปิดเส้นทางเป็นวันที่เจ็ด แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานราชการไหนเข้ามาแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบที่ดินบนเกาะหลีเป๊ะ จนเบียดขับชาวเลออกจากพื้นที่ แต่ผ่านไปหลายปีเรื่องก็ยังเงียบหายไป – หรือมีใครอยู่เบื้องหลัง?
“พวกเรากลุ่มชนชาติพันธุ์ชาวเลอูรักลาโว้ยที่อาศัยบนเกาะหลีเป๊ะกว่า 1,000 คน ที่ได้รับผลกระทบ ขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ถูกต้องรอบด้าน ไม่ใช่ชี้ว่านายทุนมีเอกสารสิทธิคือถูกต้องทั้งหมด
เนื่องจากการออกเอกสารสิทธิทับบ้านพวกเรา 100 กว่าครอบครัว ทับสุสาน ทับร่องน้ำธรรมชาติ ทับทางเดินสาธารณะแบบนี้ดูท่ามีเงื่อนงำที่เป็นข้อสงสัยของชุมชน เนื่องจากชุมชนไม่ได้รับรู้การออกเอกสารสิทธิของกลุ่มนายทุนพวกนี้เลย และที่เร่งด่วนที่สุดรัฐควรสร้างมาตรการคุ้มครองเพื่อเปิดทางให้สัญจรก่อนในระหว่างที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป” เนื้อหาบางส่วนที่ใช้ในการรณรงค์ระบุ