ชื่อของ “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” yodchatri นักธุรกิจลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น กลายเป็นบุคคลดังระดับโลกไปเรียบร้อย ในฐานะหัวเรือใหญ่ของ ONE องค์การกีฬาศิลปะการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอเชีย ที่เติบโตต่อเนื่องขึ้นตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
แต่หลายคนอาจไม่รู้ถึงเรื่องราวในอดีตของชายวัย 50 ต้นๆผู้นี้ ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อพิษเศรษฐกิจฟองสบู่แตกในช่วงปี 2540 เขาต้องระหกระเหินไปใช้ชีวิตที่อเมริกาพร้อมกับคุณแม่ชาวญี่ปุ่นและน้องชาย เนื่องจากคุณพ่อทอดทิ้งไปแบบไม่ใยดี ความหวังเรื่องอนาคตใหม่ที่อเมริกายากเย็นแสนเข็ญ บ่อยครั้งที่เขา, แม่และน้องชาย กอดคอกันร้องไห้เพราะมองไม่เห็นฝั่งฝัน
แต่เพราะหัวใจนักสู้ที่เขาบอกว่าซึมซับจากการฝึกวิชา “มวยไทย” ที่เมืองไทยตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ จนปัจจุบันเขากลายเป็นเจ้าของธุรกิจ อีโวลฟ์ MMA (Evolve Mixed Martial Arts) และผู้ก่อตั้งรายการกีฬา ONE Championship ที่มีคนดูการถ่ายทอดสดเยอะที่สุดของเอเชีย และอันดับต้นๆของโลกในยุคปัจจุบัน
นี่คือชีวิตจริงของคนสู้ชีวิตที่เราอยากให้ทุกคนรู้จักเขามากยิ่งขึ้นจากปากของเจ้าตัวเอง ว่าเพราะสาเหตุใด เขาจึงก้าวผ่านความลำบากต่างๆมากมาย ก่อนก้าวขึ้นสู่การเป็นนักธุรกิจหมื่นล้านได้ ทั้งๆที่ต้นทุนชีวิตเคยติดลบมาแล้ว
———————————–
ยกที่ 1 ครอบครัวแตกแยก อดมื้อกินมื้อ ไร้อนาคต
“สมัยก่อน พ่อเป็นนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์อยู่แถบภาคตะวันออกของประเทศไทย ตอนนั้นผมอายุประมาณ 13-14 จำได้ว่าบ้านเราเป็นครอบครัวที่มีกิน สุขสบาย มีคนขับรถ มีทุกอย่าง แต่พอเจอพิษเศรษฐกิจปี 2535 และปี 2540 ก็เลยล้มหมดทุกอย่าง ชีวิตเริ่มลำบาก แม่เลยบอกว่าผมต้องไปอเมริกาจะได้มีอนาคต เราก็เลยตัดสินใจไปอเมริกา ชีวิตที่นั่นไม่ได้สบาย ลำบากมาก ได้กินข้าววันละมื้อ ใช้เงินแค่ 4 เหรียญต่อวัน ปั่นจักรยานส่งอาหาร ทำงาน ได้นอนวันละ 3-4 ชั่วโมง และก็สอนมวยชาวต่างชาติที่เขาชอบมวยไทย”
“ตอนอยู่เมืองไทยผมชอบไปเล่นกับเพื่อนๆที่ค่ายศิษย์ยอดธง ทำให้ได้วิชามวยติดตัวมา เลยเอาความรู้ตรงนี้มาหาเงินด้วย ผมอยากช่วยครอบครัวด้วย น้องชายก็ไม่มีเงินและก็ต้องดูแลแม่ เราลำบากมาก บางครั้งแอบเห็นคุณแม่อด แม่บอกไม่หิว เพื่อให้เราได้กินอิ่ม ช่วงนั้นผมร้องไห้บ่อยมาก ภาพนั้นยังติดตา ร้องไห้เพราะไม่มีอนาคต บ้านไม่มี ไม่มีทางออก มันเหนื่อยมาก แต่ก็บอกตัวเองว่าต้องสู้ เราโดนทิ้งจากพ่อและถูกผลักให้กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวแบบไม่ได้ตั้งตัว ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตยากลำบากมาก”
———————————–
ยกที่ 2 ความดื้อรั้นกอบกู้ชีวิต
“ผมเรียนจบปริญญาตรี B.A. in Economic เศรษฐศาสตร์ จาก Tufts University และก็มาต่อปริญญาโท MBA ที่ Harvard Business School ที่ผมมีเงินเรียนเพราะไปขอทุนที่อเมริกา ใครที่สอบติด Harvard ก็ไปยื่นขอทุน และที่เรียนต่อโทเพราะคนอเมริกาเขารู้ว่าใครเรียน MBA Harvard นั้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก คุณจะทำงานที่ไหนก็ได้ ทุกบริษัทอยากได้ไปร่วมงาน เราจะมีโอกาสมากขึ้น”
“หลังจากเรียนที่ Harvard สองปีแม่บอกว่าอยากให้ทำงานทั่วไปกับสักบริษัทนึง แต่ผมรู้สึกอยากสร้างบริษัทของเองมากกว่า โดนแม่ห้ามไม่ให้ทำเพราะเราเคยล้มมาแล้ว เคยมีบทเรียนกับมันแล้ว และเราจน เราไม่มีเงินด้วย แม่กลัวมากๆ แต่ผมก็เลือกทำเลย ไปยืมเงินและหาเงินมาประมาณ 1,000- 2,000 เหรียญ และสร้างบริษัท Internet Software ทำไปสักระยะก็ขายหุ้นให้พาร์ตเนอร์ไป ได้เงินมา 300- 400 ล้านบาท และก็มาทำงานด้านการลงทุนธุรกิจการเงินการลงทุนแห่ง Wall Street ใช้เวลากว่า 10 ปีกว่าจะตั้งตัวได้”
———————————–
ยกที่ 3 กลับสู่วงการหมัดมวย
“สำหรับผม คุณแม่เป็นแรงผลักดันให้เสมอ ท่านมักจะพูดบ่อยๆว่า -ชาตรี เป็นคนพิเศษ ยูทำได้ และหากมีโอกาสต้องช่วยโลก ช่วยให้โอกาสกับทุกคน- ตอนอายุ 19 ผมเขียนฝันในกระดาษ ค่ายมวยคือสิ่งที่ผมอยากทำ ผมอยากมีค่ายที่ดูแลนักมวยจริงๆ เพราะว่าเจอสิ่งที่ไม่ค่อยโอเคเยอะ อย่างบางคนเป็นแชมป์ มีเงินมาก มีศักดิ์ศรี พอเลิกกลายเป็นคนจนทันที มักจะโดนคนในวงการโกง”
“ผมเคยถามตัวเองว่า เราอายุ 35-36 แล้ว มีเงินหลายพันล้านจากการทำธุรกิจ เรามีเงินมากขึ้น แต่ทำไมรู้สึกไม่มีความสุข? เรามีบ้าน เรามีรถหลายคันเหมือนคนอื่น แต่ชีวิตไม่ค่อยมีความหมาย เลยกลับมาเอเชียแล้วก่อสร้าง Evolve MMA ที่สิงคโปร์ เป็นองค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดและมีแชมป์โลกในสังกัดมากที่สุดในโลก”
“ครูมวยที่มาสอนที่นี่ได้รับการรับรองจากหลายสถาบันแนวหน้า ผมก็เริ่มสร้าง ONE Championship เป็นสปอร์ต เอ็นเทอร์เทนเมนต์ บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ถ่ายทอดสดไปทั่วโลก ผมมาคิดว่า ทำไมเอเชียเราถึงไม่มีอย่างที่อเมริกามี NFL, NBA เอเชียไม่ค่อยมีอะไร ทั้งๆที่เอเชียมีศิลปะการป้องกันตัวที่มีประวัติมากมาย มี คาราเต้, เทควันโด, กังฟู, มวยไทย ทุกประเทศมีศิลปะป้องกันตัว ตรงนี้นอกจากเป็นโอกาสธุรกิจแล้วมวยไทยช่วยผมจากคนจนให้เป็นนักธุรกิจได้จนถึงทุกวันนี้”
———————————–
ยกที่ 4 บทเรียน ข้อคิด กับชีวิตชนะน็อก
“การทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จของผมมี 5 อย่าง อย่างที่ 1 คุณต้องทำสิ่งที่คุณรักอยู่ในใจ เพราะไม่ว่าคุณจะลำบากแค่ไหน ถ้าจะตายก็ยังได้ทำในสิ่งที่คุณรักและชอบ, อย่างที่ 2 คุณต้องมีต้นแบบชีวิตให้ตัวเองถ้าคุณอยากรวย อยากเป็นแชมป์มวยต้องทำยังไง คุณต้องทำอย่างไร ต้องศึกษาต้นแบบชีวิตที่คุณอยากเป็นเหมือนเขาหามาสัก 4-5 คนแล้วค้นหาชีวิตของเขา แต่ถ้าเกิดมีโอกาสคุณต้องลองคุยกับเขาด้วย”
“อย่างที่ 3 ในทุกวันที่คุณตื่นเช้า คุณต้องคิดว่าชีวิตเราต้องพยายามโตขึ้น ดีขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ ต้องมีความคิดอย่างนั้นในทุกๆอย่างของชีวิตเราจะเป็นอะไรก็ตาม ธุรกิจ ครอบครัว อะไรก็ได้ พัฒนาและพึ่งตัวเอง, อย่างที่ 4 คือให้ตัวเองอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี คุณก็จะเป็นคนแบบนั้น ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มคนกินเหล้าเสพยาเสพติด คุณก็จะเป็นแบบคนพวกนั้น ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มคนที่ดี ขยัน อดทน คุณก็จะเป็นแบบนั้นด้วย”
“อย่างสุดท้าย อย่ายอมแพ้เด็ดขาด คุณต้องใจสู้ถ้าอยากทำความฝันสำเร็จและต้องเข้าใจในชีวิต คนเรามันต้องมีทุกช่วงทั้งความลำบาก ผิดพลาด ร้องไห้ เสียใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอแค่ใจคุณสู้ นี่คือ 5 อย่างสู่ความสำเร็จ”
———————————–
สำหรับ ปัญหา, อุปสรรค และความยากเข็ญต่างๆในชีวิต หากใจเราสู้ ชีวิตย่อมไม่มีอะไรยาก เพราะหลังผ่านพ้นขวากหนามเหล่านั้น ความสำเร็จคือฝั่งฝันที่เราจะมีโอกาสได้ชื่นชมกับมันอย่างภาคภูมิเสมอ อย่างที่ชายที่ชื่อ “ชาตรี ศิษย์ยอดธง” พิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว