ที่มาของคำด่าว่า “เหี้ย” กลายเป็นคำด่าได้ยังไง
คำด่า “เหี้ย” เป็นหนึ่งในคำหยาบคายที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในภาษาไทย และกลายเป็นคำที่มีความหมายทางลบเมื่อใช้ในสังคม เพื่อแสดงความไม่พอใจ รังเกียจ หรือการสบถเมื่อโกรธ แต่เดิมแล้ว “เหี้ย” เป็นเพียงชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่งในวงศ์ตะกวด (Varanus salvator) ซึ่งเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นที่รู้จักในประเทศไทยมานาน คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมคำว่า “เหี้ย” ถึงกลายมาเป็นคำด่าที่หยาบคายในสังคมไทย? ในบทความนี้ เราจะสำรวจที่มาของการใช้คำว่า “เหี้ย” ในบริบทของการเป็นคำด่า โดยอ้างอิงจากการศึกษาและบันทึกทางวัฒนธรรมของไทย
การเริ่มต้นของคำว่า “เหี้ย” ในภาษาไทย
คำว่า “เหี้ย” ในบริบทดั้งเดิมหมายถึงตะกวดหรือตัวเหี้ย ซึ่งเป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ที่สามารถพบเห็นได้ในพื้นที่ชุ่มน้ำของไทย สัตว์ชนิดนี้มีลักษณะที่น่ากลัวในสายตาของคนทั่วไป เนื่องจากขนาดตัวที่ใหญ่และวิธีการเคลื่อนไหวที่ดูลึกลับ ทำให้ “เหี้ย” ถูกมองว่าเป็นสัตว์ที่มีลักษณะร้าย ไม่เป็นมงคล และเชื่อว่าเป็นสัตว์ที่นำความโชคร้ายมาตามความเชื่อของชาวบ้านในสมัยก่อน
ในเอกสารวิชาการและบันทึกทางวัฒนธรรมของไทย สัตว์ประเภท “เหี้ย” ได้รับการบรรยายไว้ในฐานะสัตว์ที่มีบทบาทเชิงลบในคติชนและเรื่องเล่าพื้นบ้าน ทำให้ผู้คนมีการเปรียบเทียบพฤติกรรมหรือบุคคลที่ไม่ดีออกมาเป็น “เหี้ย” ซึ่งเชื่อกันว่าสัตว์ชนิดนี้เป็นตัวแทนของสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ จึงเริ่มนำคำนี้มาใช้ในเชิงเปรียบเทียบเพื่อด่าทอหรือแสดงความไม่พอใจต่อคนที่มีพฤติกรรมไม่ดี
ความเชื่อและวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับสัตว์ “เหี้ย”
ในอดีต คนไทยมีความเชื่อว่าสัตว์บางชนิดเชื่อมโยงกับความโชคร้าย เช่นเดียวกับคำว่า “จระเข้” ที่บางครั้งถูกใช้ด่าในลักษณะของการเปรียบเทียบ คนโบราณมักมองสัตว์เหล่านี้ว่าเป็นตัวแทนของความเลวร้าย หรือภัยพิบัติ ตัวเหี้ยมักถูกมองว่าเป็นสัตว์ที่นำสิ่งไม่ดีเข้ามาใกล้บ้านเรือน ด้วยความเชื่อเช่นนี้เอง การเรียกคนว่า “เหี้ย” จึงเป็นการเปรียบเปรยว่าเขาเป็นคนที่นำความโชคร้ายหรือมีพฤติกรรมที่ไม่น่าพึงประสงค์
ในงานวิจัยของ ศิลปวัฒนธรรมศึกษา ที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมและภาษาไทย คำว่า “เหี้ย” ถูกบันทึกว่ามีการใช้ในฐานะคำด่ามาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยมักจะถูกใช้เพื่อด่าทอผู้ที่ทำพฤติกรรมไม่ดี เป็นคนเจ้าเล่ห์ หรือคนที่มีลักษณะนิสัยไม่สุภาพและน่ารังเกียจ
การพัฒนาของคำด่า “เหี้ย” ในภาษาไทย
ในสมัยโบราณ คนไทยมักใช้คำด่าที่อ้างอิงจากสัตว์ เช่น คำว่า “ควาย” “หมู” และ “เหี้ย” ซึ่งแต่ละคำด่ามีรากฐานมาจากทัศนคติทางลบที่คนมีต่อสัตว์ชนิดนั้นๆ ในกรณีของคำว่า “เหี้ย” การเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมระหว่างสัตว์และการนำโชคร้ายเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้คำนี้ถูกใช้ในบริบทของการแสดงความรังเกียจและไม่พอใจ
มีหลักฐานทางวัฒนธรรมหลายชิ้นที่ระบุว่า การใช้คำว่า “เหี้ย” ในบริบทด่าทอมักพบในวงสังคมของคนชั้นต่ำหรือคนที่มีการศึกษาไม่สูงมากนักในสมัยก่อน อย่างไรก็ตาม การใช้คำนี้ค่อยๆ แพร่หลายมากขึ้นในสังคมไทย และกลายเป็นคำหยาบคายที่ใช้กันทั่วไปในชีวิตประจำวัน
บทบาทของคำว่า “เหี้ย” ในวัฒนธรรมปัจจุบัน
แม้ว่าคำว่า “เหี้ย” จะมีความหยาบคายในความหมายทางสังคม แต่ในบางกรณี คำนี้ยังคงถูกใช้เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสนิท หรือการหยอกล้อกันในกลุ่มสังคมที่เป็นกันเองมากขึ้น การใช้คำนี้ในปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้นตามบริบท บางครั้งผู้คนอาจใช้เพื่อแสดงความโกรธหรือขุ่นเคือง แต่ก็อาจใช้ในลักษณะหยอกล้อในกลุ่มคนที่รู้จักกันดี
บทสรุป
ที่มาของคำด่าว่า “เหี้ย” ในภาษาไทยเป็นผลมาจากความเชื่อและทัศนคติทางวัฒนธรรมที่มีต่อสัตว์ชนิดนี้ในอดีต โดยคำว่า “เหี้ย” ถูกใช้เพื่อเปรียบเทียบกับบุคคลที่มีพฤติกรรมไม่ดี น่ารังเกียจ หรือสร้างความไม่พอใจในสังคม อย่างไรก็ตาม การใช้คำว่า “เหี้ย” ยังคงเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรมในปัจจุบัน
แหล่งข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถพบได้ในงานศึกษาทางวัฒนธรรม เช่น วารสารศิลปวัฒนธรรมศึกษา ที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการใช้คำว่า “เหี้ย” ในสังคมไทยและการเปลี่ยนแปลงในบริบทต่างๆ